ฟอเร็กซ์
11 กลยุทธ์การเทรดที่นักเทรดทุกคนควรรู้
เขียนโดย Nathalie Okde
อัปเดตแล้ว 24 มกราคม 2025
สารบัญ
กลยุทธ์การเทรดคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในตลาดการเงินไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดมือใหม่หรือมีประสบการณ์มาหลายปีการมีแผนการเทรดที่ดีเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
ในบทความนี้เราจะแนะนำกลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุดและเป็นที่นิยมเพื่อให้คุณเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตัวเองและทำให้คุณก้าวสู่ความสำเร็จในตลาดได้ง่ายขึ้น
สาระสำคัญ
-
กลยุทธ์การเทรดคือแผนที่มีโครงสร้างเพื่อเพิ่มผลกำไรสูงสุดพร้อมทั้งบริหารความเสี่ยง
-
กลยุทธ์ยอดนิยมได้แก่ การเทรดตามข่าว การเทรดตามแนวโน้ม และการเก็งกำไรระยะสั้น (Scalping)
-
แต่ละกลยุทธ์มีข้อดีและความเสี่ยงเฉพาะตัวดังนั้นควรเลือกให้เหมาะสมกับสไตล์และเป้าหมายของคุณ
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายกลยุทธ์การเทรดคืออะไร?
กลยุทธ์การเทรดคือแผนการที่ชัดเจนในการซื้อขายในตลาดการเงินเปรียบเสมือน "การวางแผนเล่นเกมส์" ที่นักเทรดใช้เพื่อเพิ่มผลกำไรและลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดมีกลยุทธ์การเทรดหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับเวลา เทคนิค และสไตล์การเทรดของแต่ละคน
องค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การเทรด
ทุกกลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญบางประการที่จะช่วยให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
การบริหารความเสี่ยง คือหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการเทรดเพราะช่วยปกป้องเงินทุนของคุณโดยลดการขาดทุนให้น้อยที่สุด นอกจากนี้กลยุทธ์การเทรดยังช่วยกำหนดขีดจำกัดที่ชัดเจนว่าในการเทรดแต่ละครั้งคุณพร้อมที่จะเสี่ยงได้มากแค่ไหน
นอกจากนี้การวิเคราะห์ทางเทคนิคยังมีบทบาทสำคัญในการคาดการณ์ทิศทางของราคาด้วยการอ่านกราฟ อินดิเคเตอร์ และ รูปแบบแพทเทิร์น นักเทรดสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบว่าควรเข้าเทรดหรือออกจากตลาดเมื่อใด
สุดท้ายแผนการเทรดที่ชัดเจนจะช่วยรวมทุกอย่างไว้ในทิศทางเดียวกันแผนนี้เปรียบเสมือนแผนที่นำทางที่กำหนดกลยุทธ์การเข้าและออกการจัดขนาดการลงทุน (Position Sizing) และเป้าหมายการเทรดโดยรวม
เมื่อรวมองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันจะช่วยสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งให้คุณมีโครงสร้างและวินัยที่จำเป็นสำหรับการจัดการกับความซับซ้อนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
11 กลยุทธ์การเทรดยอดนิยม
กลยุทธ์การเทรดมีความยืดหยุ่นสูงและสิ่งที่ได้ผลสำหรับคนหนึ่งอาจไม่เหมาะกับอีกคนไม่ว่าคุณจะชอบการเทรดที่รวดเร็วหรือการลงทุนในระยะยาวก็มีกลยุทธ์ที่ปรับให้เหมาะกับเป้าหมายของคุณได้
ด้านล่างนี้คือกลยุทธ์การเทรดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด:
-
กลยุทธ์การเทรดตามข่าว (News Trading Strategy)
-
กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading Strategy)
-
กลยุทธ์การเทรดตามกรอบ (Range Trading Strategy)
-
กลยุทธ์การเทรดรายวัน (Day Trading Strategy)
-
กลยุทธ์การเทรดสิ้นวัน (End-of-Day Trading Strategy)
-
กลยุทธ์การเทรดแบบสวิง (Swing Trading Strategy)
-
กลยุทธ์การเทรดแบบเก็งกำไรระยะสั้น (Scalping Trading Strategy)
-
กลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว (Position Trading Strategy)
-
กลยุทธ์การเทรดตามช่องว่างราคา (Gap Trading Strategy)
-
กลยุทธ์การเทรดด้วยพฤติกรรมราคา (Price Action Trading Strategy)
-
กลยุทธ์การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading Strategy)
กลยุทธ์การเทรดตามข่าว (News Trading Strategy)
การเทรดตามข่าวคือการใช้เหตุการณ์ในตลาดและข่าวเศรษฐกิจเป็นจุดศูนย์กลางกลยุทธ์นี้เกี่ยวกับการตอบสนองต่อข่าวสำคัญที่สามารถทำให้ราคาพุ่งขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง
ตัวอย่างเช่น ข่าวการเมือง การประกาศอัตราดอกเบี้ย รายงานการจ้างงานหรือผลประกอบการของบริษัท
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ตลาดเกิดความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหากคุณสามารถตอบสนองได้ไวพอคุณอาจทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเหล่านี้ได้
ยกตัวอย่างจาก The Economic Times ที่รายงานว่าดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน หลังจากชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐการตอบสนองต่อข่าวนี้อย่างรวดเร็วอาจทำให้คุณได้กำไรที่ดี
แต่กลยุทธ์นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วเพียงอย่างเดียวสิ่งสำคัญคือการรู้ว่าข่าวไหนสำคัญและมันจะส่งผลต่อราคาตลาดอย่างไร
4 เคล็ดลับการเทรดตามข่าว
การเทรดตามข่าวถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเทรดที่ได้รับความนิยมและทรงพลังที่สุดหากใช้อย่างถูกต้องสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมากต่อไปนี้คือเคล็ดลับสำคัญที่คุณไม่ควรพลาด:
1. ติดตามข่าวสาร: ใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น แพลตฟอร์มข่าวการเงินหรือปฏิทินเศรษฐกิจเพื่อติดตามเหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะมาถึง
2. เลือกตลาดที่มีสภาพคล่องสูง: เทรดในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง เช่น ฟอเร็กซ์หรือหุ้นขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถเข้าหรือออกการเทรดได้อย่างราบรื่น
3. เตรียมตัวล่วงหน้า:วิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีตเพื่อคาดการณ์การตอบสนองของตลาดที่อาจเกิดขึ้น
4. ใช้คำสั่ง Stop-Loss: ป้องกันความเสี่ยงจากการกลับตัวของราคาที่ไม่คาดคิดด้วยการตั้งระดับ stop-loss อย่างชัดเจน
ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์การเทรดตามข่าว
กลยุทธ์การเทรดตามข่าวถือเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังมีข้อดีหลายประการแต่ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง
ข้อดี
-
กำไรเร็ว: การตอบสนองของตลาดต่อข่าวสามารถทำให้ราคาผันผวนอย่างรวดเร็วซึ่งเปิดโอกาสให้ทำกำไรทันที
-
โอกาสบ่อยครั้ง: เหตุการณ์ข่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เทรดเดอร์มีโอกาสเข้าทำการเทรดหลายครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ
ข้อเสีย
-
ความไม่แน่นอน: ตลาดอาจไม่ตอบสนองตามที่คาดหวังทำให้ผลลัพธ์ไม่สามารถคาดการณ์ได้
-
ความเครียด: การต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและติดตามข่าวสารตลอดเวลาอาจทำให้เกิดความเครียด
กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading Strategy)
การเทรดตามแนวโน้มมุ่งเน้นไปที่การระบุและติดตามแนวโน้มของตลาดไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง กลยุทธ์นี้คล้ายกับการเทรดตามข่าวแต่เน้นการเคลื่อนไหวของราคาที่กว้างขึ้นในตลาดและไม่เน้นความไวต่อเวลาเท่ากับการเทรดตามข่าว
กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะยาวที่ยั่งยืน มากกว่าการผันผวนในระยะสั้นที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างเช่น ในปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงการฟื้นตัวหลังการระบาดของโควิด-19 ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กลับมาสู่สภาวะปกติ
เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มและสามารถระบุโมเมนตัมนี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อาจทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากการถือครองตำแหน่งยาวในดัชนีหลักหรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ
เคล็ดลับการเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading Strategy Tips)
หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในการเทรดตามแนวโน้มควรจำเคล็ดลับเหล่านี้ไว้:
-
ใช้เครื่องมือทางเทคนิค: เครื่องมือเช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), MACD หรือ RSI สามารถช่วยยืนยันแนวโน้มและระบุจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น
-
ยึดตามกรอบเวลา: ควรมุ่งเน้นไปที่กรอบเวลาที่คุณสะดวก เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน และหลีกเลี่ยงการถูกเบี่ยงเบนจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น
-
ตามแนวโน้มไปเรื่อยๆ: “The trend is your friend” หมายถึงผู้เทรดควรตามแนวโน้มของตลาดไปเรื่อยๆ คำแนะนำนี้สำคัญควรอยู่ในตำแหน่งลงทุนจนกว่าค่าเครื่องมือทางเทคนิคจะแสดงสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน
-
ตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop-Loss): เพื่อป้องกันตำแหน่งของคุณควรตั้งจุดหยุดขาดทุนต่ำกว่าจุดต่ำสุดล่าสุด (สำหรับตลาดขาขึ้น) หรือสูงกว่าจุดสูงสุดล่าสุด (สำหรับตลาดขาลง)
ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม
แม้ว่าการเทรดตามแนวโน้มจะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา
ข้อดี
-
ความเรียบง่าย: เข้าใจง่ายทำให้เหมาะสำหรับมือใหม่
-
อัตราความสำเร็จสูง: กลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลดีในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
-
สามารถขยายได้: สามารถใช้ได้กับกรอบเวลาหรือสินทรัพย์หลายประเภท
ข้อเสีย
-
แนวโน้มหลอก:การกลับตัวของตลาดที่ไม่คาดคิดหรือการเคลื่อนไหวของตลาดที่มีการแกว่งตัวอาจทำให้เกิดการขาดทุน
-
ต้องใช้ความอดทน:แนวโน้มอาจใช้เวลานานในการพัฒนา ทำให้เทรดเดอร์ต้องรอจนกว่าจะสามารถทำกำไรได้
กลยุทธ์การเทรดตามกรอบ (Range Trading Strategy)
การเทรดในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวตามกรอบมุ่งเน้นไปที่ตลาดที่มีการเคลื่อนไหวในช่วงราคาที่สามารถคาดเดาได้โดยราคาจะขยับไปมาระหว่าง ระดับแนวรับ (ราคาต่ำสุด) และ ระดับแนวต้าน (ราคาสูงสุด) การเทรดในกลยุทธ์นี้จะเน้นการทำกำไรจากการที่ราคาผ่านระดับเหล่านี้ไป (breakout points)
ซึ่งเป็นจุดที่ราคามีการขยับข้ามผ่านแนวรับหรือแนวต้านอย่างมีนัยสำคัญ
เทรดเดอร์มักจะตั้งเป้าที่จะซื้อที่ระดับแนวรับและขายที่ระดับแนวต้าน โดยการใช้ประโยชน์จากลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาที่ซ้ำๆ กัน
เช่น หากราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวระหว่าง $50 และ $60 อย่างสม่ำเสมอเทรดเดอร์อาจจะซื้อที่ราคา $50 และขายที่ราคา $60 และทำเช่นนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ช่วงราคานั้นยังคงอยู่
กลยุทธ์นี้จะได้ผลดีที่สุดในตลาดที่มีความเสถียร โดยราคามีการเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ (sideways) แทนที่จะมีการเทรนขึ้นหรือลง
เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์กลยุทธ์การเทรดตามกรอบ (Range Trading)
การเทรดตามกรอบเหมาะสมที่สุดในตลาดที่มีความเสถียรและราคาสามารถคาดเดาได้ด้านล่างนี่คือวิธีการทำให้กลยุทธ์นี้ได้ผล:
-
ระบุกรอบราคาที่ชัดเจน: ใช้ระดับแนวรับและแนวต้านบนกราฟเพื่อกำหนดช่วงราคา
-
เทรดใกล้กับระดับสำคัญ: ซื้อใกล้กับแนวรับและขายใกล้กับแนวต้านเพื่อทำกำไรสูงสุด
-
เฝ้าระวังการทะลุแนว: ระมัดระวังหากราคากำลังเข้าใกล้ขอบเขตของกรอบเพราะการ ทะลุแนว (breakout) อาจทำให้กลยุทธ์นี้ใช้ไม่ได้
-
ใช้เครื่องมือ Oscillators: เครื่องมืออย่าง RSI หรือ Stochastic Oscillator สามารถช่วยยืนยันสถานะการซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป
ประโยชน์และความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดตามกรอบ
การเทรดตามกรอบราคามีความคาดเดาได้เพราะอาศัยการเคลื่อนไหวของราคาภายในระดับแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจนทำให้เหมาะสมที่สุดในตลาดที่มีเสถียรภาพอย่างไรก็ตามการทะลุแนวที่ไม่คาดคิดเหนือกรอบราคานั้นอาจทำให้เกิดการขาดทุนที่ไม่คาดฝันและศักยภาพการทำกำไรที่จำกัดอาจไม่เหมาะกับเทรดเดอร์ทุกคน
กลยุทธ์การเทรดรายวัน
การเทรดรายวันหมายถึงการซื้อขายหลักทรัพย์ภายในวันซื้อขายเดียวกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้นเป็นกลยุทธ์ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจที่รวดเร็วและการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์รายวันอาจสังเกตเห็นราคาหุ้นเทคโนโลยีพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเช้าและตัดสินใจซื้อหุ้นโดยคาดว่ากระแสจะยังคงดำเนินต่อไป
ต่อมาพวกเขาขายหุ้นก่อนที่ตลาดจะปิดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงข้ามคืน
การเทรดรายวันได้รับความนิยมเพราะมีศักยภาพในการทำกำไรอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องอาศัยวินัย สมาธิ และการบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง
4 เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดรายวัน
การเทรดรายวันต้องอาศัยความรวดเร็วและมีวินัยลองทำตามเคล็ดลับเหล่านี้:
-
เทรดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง: เน้นการเทรดในฟอเร็กซ์ หุ้นขนาดใหญ่ หรือดัชนีที่มีปริมาณการซื้อขายสูง
-
เฝ้าติดตามตลาดอย่างต่อเนื่อง: จับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาในระหว่างวัน
-
ยึดมั่นในอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: ควรรักษาสัดส่วนอย่างน้อย 1:2 เพื่อให้ผลตอบแทนที่เป็นไปได้สูงกว่าความเสี่ยง
ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดรายวัน
การเทรดรายวันช่วยให้เทรดเดอร์หลีกเลี่ยงความเสี่ยงข้ามคืนและทำกำไรได้อย่างรวดเร็วจากการเคลื่อนไหวของราคาในระหว่างวัน อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้ต้องการสมาธิอย่างมากการตัดสินใจที่รวดเร็ว และอาจนำไปสู่ต้นทุนการทำธุรกรรมที่สูงซึ่งอาจลดความสามารถในการทำกำไรรวมได้
กลยุทธ์การเทรดสิ้นวัน (End-of-Day Trading Strategy)
กลยุทธ์การเทรดสิ้นวันมุ่งเน้นที่การวิเคราะห์ตลาดและการตัดสินใจในช่วงใกล้ตลาดปิดการซื้อขายเทรดเดอร์ใช้กลยุทธ์นี้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลของวัน เช่น ราคาปิดและรูปแบบกราฟแท่งเทียนและวางคำสั่งซื้อขายที่ดำเนินการในวันถัดไป
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์สังเกตว่ารูปแบบกราฟแท่งเทียนรายวันแสดงสัญญาณกลับตัวขาขึ้นและวางคำสั่งซื้อ
เนื่องจากกลยุทธ์นี้ไม่ต้องติดตามตลาดตลอดทั้งวันจึงเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ทำงานพาร์ทไทม์ อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงข้ามคืนจากช่องว่างของตลาดที่อาจเกิดขึ้น
เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดสิ้นวัน
การเทรดสิ้นวันเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีเวลาจำกัดลองทำตามเคล็ดลับเหล่านี้เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ:
-
เน้นกราฟรายวัน: วิเคราะห์รูปแบบกราฟแท่งเทียนรายวันเพื่อหาสัญญาณสำคัญ
-
วางแผนการเทรดล่วงหน้า: ใช้ราคาปิดเพื่อกำหนดคำสั่งซื้อขายสำหรับวันถัดไป
-
ติดตามข่าวสาร: เฝ้าดูเหตุการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่อาจส่งผลต่อสถานะการเทรดข้ามคืน
-
ใช้ระดับหยุดขาดทุนที่กว้าง: คำนึงถึงความผันผวนหรือช่องว่างของราคาที่อาจเกิดขึ้นในช่วงข้ามคืน
ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดสิ้นวัน
กลยุทธ์การเทรดสิ้นวันใช้เวลาน้อยกว่าและช่วยให้เทรดเดอร์มุ่งเน้นไปที่แนวโน้มที่น่าเชื่อถือในกราฟรายวันจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่เกิดจากช่องว่างของราคาข้ามคืนอาจนำไปสู่การขาดทุนและโอกาสในการเทรดที่น้อยลงอาจจำกัดการเติบโตของผลกำไร
กลยุทธ์การเทรดแบบสวิง (Swing Trading Strategy)
การเทรดแบบสวิงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเคลื่อนไหวของราคาระยะกลางโดยถือสถานะการเทรดนานตั้งแต่หลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์เพื่อจับ "การแกว่งตัว" ของโมเมนตั้มในตลาด
เทรดเดอร์จะมองหาโอกาสหลังจากการปรับฐานในแนวโน้มขาขึ้นหรือการดีดตัวในแนวโน้มขาลง
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์แบบสวิงสังเกตเห็นหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นแต่มีการปรับตัวลงชั่วคราว
พวกเขาซื้อในช่วงราคาลดลงถือหุ้นไว้ไม่กี่วันจนราคาฟื้นตัวและขายทำกำไรเมื่อโมเมนตัมถึงจุดสูงสุด
กลยุทธ์นี้เป็นการผสมผสานระหว่างการเทรดเร็วและการลงทุนระยะยาวทำให้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ไม่สามารถติดตามตลาดตลอดเวลาแต่ยังต้องการความถี่ในการเทรดที่มากกว่าการเทรดแบบถือสถานะระยะยาว
เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบสวิง
การเทรดแบบสวิงจับการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะกลางซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จด้วยเคล็ดลับเหล่านี้:
-
ระบุแนวโน้ม: ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เพื่อยืนยันทิศทางโดยรวมของตลาด
-
จับจังหวะการเข้าซื้อด้วยเครื่องมือ: ใช้เครื่องมือเช่น RSI หรือ Fibonacci retracements เพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำ
-
มีความอดทน: ให้เวลากับการเทรดพัฒนาไปในช่วงระยะเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์
-
ตั้งราคาเป้าหมาย: กำหนดระดับกำไรและหยุดขาดทุนตามจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของการสวิง
ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดแบบสวิง
การเทรดแบบสวิงเป็นการผสมผสานระหว่างความยืดหยุ่นและความสามารถในการทำกำไรโดยมุ่งเป้าไปที่การเคลื่อนไหวของราคาในระยะกลาง ซึ่งช่วยให้ได้กำไรต่อการเทรดแต่ละครั้งมากกว่ากลยุทธ์การเทรดในวันเดียวกัน อย่างไรก็ตามความผันผวนของตลาดและการถือสถานะข้ามคืนอาจทำให้ผู้เทรดต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้
กลยุทธ์การเทรดแบบเก็งกำไรระยะสั้น (Scalping)
Scalping เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การเทรดในวันเดียวที่เน้นการเทรดด้วยความรวดเร็ว โดยมุ่งหวังกำไรเล็กน้อยแต่บ่อยครั้งจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นผู้ที่ใช้กลยุทธ์
Scalping มักจะถือสถานะเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที โดยเน้นการเทรดในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงเพื่อให้สามารถเข้าและออกจากตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว
ตัวอย่างเช่น ผู้เทรดแบบ Scalping อาจซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ $100.10 และขายในเวลาต่อมาเพียงไม่กี่วินาทีที่ราคา $100.15 ซึ่งสร้างกำไรเล็กน้อยแต่ต่อเนื่องได้อย่างสม่ำเสมอ
แม้ว่าการเทรดแบบ Scalping จะสามารถทำกำไรได้หากดำเนินการอย่างเชี่ยวชาญแต่กลยุทธ์นี้ต้องการความตั้งใจและความจดจ่ออย่างสูงรวมถึงการตัดสินใจที่รวดเร็วและการใช้เครื่องมือการเทรดที่มีความถี่สูงเพื่อให้การดำเนินการซื้อขายมีประสิทธิภาพและทันเวลา
4 เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping
การเทรดแบบ Scalping เน้นความแม่นยำและความรวดเร็วนี่คือวิธีทำให้ประสบความสำเร็จ:
-
เน้นตลาดที่มีสภาพคล่องสูง: เลือกเทรดในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาดฟอเร็กซ์หรือตลาดหุ้นขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถเข้าและออกจากสถานะได้อย่างรวดเร็ว
-
เลือกสินทรัพย์ที่มีสเปรดต่ำ: ลดต้นทุนต่อการเทรดโดยเลือกสินทรัพย์ที่มีส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย (Spread) ต่ำ
-
ตั้งเป้าหมายกำไรที่รวดเร็ว: มุ่งเน้นการทำกำไรเล็กน้อยแต่บ่อยครั้งโดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและใช้คำสั่ง Stop-loss ที่แน่นหนาเพื่อควบคุมความเสี่ยงและป้องกันการขาดทุนมากเกินไป
-
ใช้เทคโนโลยีเสริมการเทรด: ใช้แพลตฟอร์มการเทรดและเครื่องมือที่มีความเร็วสูงเพื่อให้การดำเนินการซื้อขายมีประสิทธิภาพและแม่นยำ
ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping
การเทรดแบบ Scalping เปิดโอกาสในการทำกำไรบ่อยครั้งและลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดเนื่องจากระยะเวลาการถือสถานะที่สั้น อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้ต้องจดจ่ออย่างมาก การดำเนินการที่รวดเร็วและอาจมีต้นทุนการทำธุรกรรมที่สูงเนื่องจากปริมาณการเทรดที่มาก
กลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว (Position Trading)
กลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว (Position Trading) เป็นแนวทางการเทรดระยะยาวที่ผู้เทรดถือสถานะเป็นเวลาหลายสัปดาห์ หลายเดือน หรือแม้กระทั่งเป็นปี โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากแนวโน้มตลาดที่สำคัญหรือการเปลี่ยนแปลงทางปัจจัยพื้นฐาน
กลยุทธ์นี้ไม่ได้เน้นที่การเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละวันแต่ให้ความสำคัญกับทิศทางของตลาดในภาพรวมมากกว่า
ตัวอย่างเช่น ผู้เทรดอาจซื้อหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและถือหุ้นนั้นในระยะยาวขณะที่บริษัทมีการขยายตัวต่อเนื่องในปีถัดไป
การเทรดแบบ Position Trading ต้องการความอดทนและความเข้าใจเชิงลึกทั้งในด้านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคแต่เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเทรดที่ไม่บ่อยครั้งนัก
เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว
กลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว (Position Trading) เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวนี่คือวิธีเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ:
-
ใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: เน้นที่ตัวชี้วัดเศรษฐกิจระยะยาวและปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
-
ติดตามข่าวสารด้านเศรษฐกิจมหภาค: เฝ้าดูปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยและการเติบโตของ GDP
-
เพิกเฉยต่อความผันผวนในระยะสั้น: มุ่งความสนใจไปที่ภาพรวมในระยะยาว
-
กระจายพอร์ตการลงทุน: ลดความเสี่ยงโดยการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท
ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว
การเทรดแบบระยะยาว (Position Trading) ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากแนวโน้มตลาดระยะยาว โดยใช้เวลาในการบริหารจัดการน้อย อย่างไรก็ตามการถือสถานะในระยะยาวอาจทำให้นักลงทุนเผชิญกับความผันผวนของตลาดและอาจทำให้เงินทุนถูกผูกไว้ในสินทรัพย์ซึ่งลดสภาพคล่องในพอร์ตการลงทุน
กลยุทธ์การเทรดตามช่องว่างราคา (Gap Trading)
กลยุทธ์ Gap Trading มุ่งเน้นไปที่การซื้อขายตามช่องว่างของราคา (Price Gap) ที่เกิดขึ้นเมื่อสินทรัพย์เปิดตลาดด้วยราคาที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นหลังเวลาทำการตลาด
ผู้เทรดจะใช้โอกาสนี้เพื่อทำกำไรจากการปรับตัวของราคาหลังจากเกิดช่องว่างไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่เติมเต็มช่องว่างหรือการสร้างแนวโน้มใหม่ที่ชัดเจน
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นปิดตลาดที่ราคา $90 และเปิดตลาดในวันถัดไปที่ราคา $95 เนื่องจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งผู้เทรดอาจตัดสินใจซื้อหุ้น โดยคาดหวังว่าแรงผลักดันของราคาจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป
ในทางกลับกันผู้เทรดอาจเลือกขายชอร์ต (Short Sell) หุ้นนั้นโดยคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลดลง (Correction) หลังจากที่เปิดตลาดสูงเกินไป
กลยุทธ์นี้ไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและเหมาะกับผู้เทรดที่มีประสบการณ์ซึ่งสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจตามสภาวะตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดตามช่องว่างราคา
การเทรดตามช่องว่างราคา (Gap Trading) ใช้ประโยชน์จากช่องว่างของราคาที่เกิดขึ้นข้ามคืนนี่คือวิธีเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ:
-
ใช้ข้อมูลก่อนตลาดเปิด: วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาก่อนตลาดเปิดเพื่อประเมินแนวโน้มและช่องว่างของราคา
-
ยืนยันช่องว่างราคา: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่องว่างที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากข่าวสำคัญหรือการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อขาย
-
ตั้งจุดหยุดขาดทุนที่แน่นหนา: ป้องกันความเสี่ยงจากการกลับตัวของราคาด้วยการจำกัดการขาดทุน
-
เทรดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง: เลือกเทรดหุ้นหรือคู่เงินฟอเร็กซ์ที่มีปริมาณการซื้อขายสูง
ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดตามช่องว่างราคา
การเทรดตามช่องว่างราคา (Gap Trading) สามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากตลาดมีการปรับตัวตามช่องว่างของราคาที่เกิดจากข่าวสำคัญในช่วงข้ามคืน อย่างไรก็ตามช่องว่างของราคาอาจกลับทิศทางโดยไม่คาดคิดทำให้กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยการตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำสูง
กลยุทธ์การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading)
การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading) คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการดำเนินการซื้อขายโดยอิงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น ราคา ปริมาณการซื้อขาย หรือเวลา กลยุทธ์เหล่านี้มีตั้งแต่ระบบที่อิงตามกฎง่าย ๆ ไปจนถึงโมเดลที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่องขั้นสูง (Machine Learning) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเทรด
ตัวอย่างเช่น อัลกอริทึมอาจตั้งโปรแกรมให้ซื้อหุ้นโดยอัตโนมัติเมื่อราคาทะลุเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน และขายเมื่อราคาถึงเป้าหมายกำไรที่กำหนดไว้
การเทรดด้วยอัลกอริทึมได้รับความนิยมเนื่องจากความรวดเร็วและความแม่นยำแต่กลยุทธ์นี้จำเป็นต้องใช้งานเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนและต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดหรือสถานการณ์ตลาดที่ไม่คาดคิด
4 เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดด้วยอัลกอริทึม
การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading) ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี่คือวิธีเพิ่มประสิทธิภาพ:
-
กำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน: ตั้งโปรแกรมอัลกอริทึมด้วยเกณฑ์การซื้อขายที่ชัดเจนและแม่นยำ
-
ทดสอบย้อนหลังอย่างละเอียด: ใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อทดสอบกลยุทธ์ว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่
-
ตรวจสอบผลการทำงานอย่างสม่ำเสมอ: เฝ้าติดตามข้อผิดพลาดของอัลกอริทึมหรือการเปลี่ยนแปลงในตลาดอย่างต่อเนื่อง
-
ปรับปรุงให้ทันสมัย: อัปเดตอัลกอริทึมให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง
ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดด้วยอัลกอริทึม
การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading) มอบความรวดเร็ว ความสม่ำเสมอ และการดำเนินการที่ปราศจากอารมณ์ช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวทางเทคนิคและการพึ่งพาผลการทดสอบย้อนหลังมากเกินไปอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ดีในสภาพตลาดจริง
กลยุทธ์การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action Trading)
การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action Trading) เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาที่แท้จริงโดยไม่พึ่งพาอินดิเคเตอร์หรืออัลกอริทึมมาก
นักเทรดใช้การสังเกตรูปแบบต่าง ๆ เช่น การก่อตัวของแท่งเทียน ระดับแนวรับและแนวต้านและเส้นแนวโน้มเพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย
ตัวอย่างเช่น หากผู้เทรดสังเกตเห็นรูปแบบแท่งเทียนกระทิงล้อม (Bullish Engulfing) ใกล้ระดับแนวรับพวกเขาอาจเปิดสถานะซื้อ (Long Position) โดยคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น
การเทรดตามพฤติกรรมราคามีความยืดหยุ่นและสามารถใช้งานได้ในหลากหลายกรอบเวลาแต่กลยุทธ์นี้ต้องการทักษะการวิเคราะห์ที่แข็งแกร่งและประสบการณ์ในการตีความรูปแบบราคาอย่างถูกต้อง
เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดตามพฤติกรรมราคา
การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action) เน้นการวิเคราะห์กราฟราคาเป็นหลัก นี่คือวิธีทำให้ประสบความสำเร็จ:
-
เน้นที่รูปแบบราคา: ศึกษารูปแบบที่พบบ่อย เช่น Pin Bars และ Engulfing Candles เพื่อระบุโอกาสในการเทรด
-
ใช้แนวรับและแนวต้าน: ทำการซื้อขายโดยพิจารณาการตอบสนองของราคาที่ระดับแนวรับและแนวต้านสำคัญ
-
ลดการใช้เครื่องมือเกินความจำเป็น: หลีกเลี่ยงการใส่อินดิเคเตอร์มากเกินไปบนกราฟ เพื่อรักษาความเรียบง่ายและเน้นข้อมูลสำคัญ
-
เข้าใจบริบทตลาด: วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาภายใต้แนวโน้มตลาดในภาพรวมเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ
ประโยชน์และความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดตามพฤติกรรมราคา
การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action) มีความเรียบง่ายและยืดหยุ่นสามารถปรับใช้ได้กับหลากหลายตลาดและกรอบเวลา อย่างไรก็ตามการตีความรูปแบบราคานั้นมีลักษณะเชิงอัตวิสัย (Subjective) และต้องอาศัยประสบการณ์ในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของตลาดอย่างแม่นยำ
บทสรุป
การมีกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการนำทางในตลาดการเงินที่ซับซ้อนไม่ว่าคุณจะชอบวิธีการระยะสั้น เช่น Scalping หรือวิธีการระยะยาว เช่น Position Trading มีกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์เป้าหมายของคุณ
ด้วยการทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละกลยุทธ์คุณจะสามารถสร้างแผนการเทรดที่สอดคล้องกับสไตล์การลงทุนและความยอมรับความเสี่ยงของคุณได้อย่างมั่นใจ
สารบัญ
คำถามที่พบบ่อย
กลยุทธ์ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสไตล์และเป้าหมายการเทรดของคุณผู้เริ่มต้นมักเริ่มต้นด้วยการเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading) หรือการเทรดแบบสวิง (Swing Trading)
กฎนี้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขนาดสถานะในสามขั้นตอน: เปิดสถานะที่ 3% เพิ่มเป็น 5% และปิดสถานะที่ 7% โดยเน้นการจัดการขนาดสถานะและความเสี่ยงในระยะสั้น กลาง และยาว
มีกลยุทธ์หลัก 4 ประเภท ได้แก่ การเทรดแบบเกร็งกำไรระยะสั้น (Scalping) การเทรดรายวัน (Day Trading) การเทรดแบบสวิง (Swing Trading) และ การเทรดแบบระยะยาว(Position Trading)
กลยุทธ์นี้แนะนำให้เสี่ยงไม่เกิน 2% ของเงินทุนการเทรดทั้งหมดในแต่ละการเทรดเพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง