Logo
หน้าหลัก  >  บทความ  >  กลยุทธ์การเทรด

ฟอเร็กซ์

11 กลยุทธ์การเทรดที่นักเทรดทุกคนควรรู้

เขียนโดย Nathalie Okde

อัปเดตแล้ว 24 มกราคม 2025

กลยุทธ์การเทรด
สารบัญ

    กลยุทธ์การเทรดคือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในตลาดการเงินไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดมือใหม่หรือมีประสบการณ์มาหลายปีการมีแผนการเทรดที่ดีเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม

    ในบทความนี้เราจะแนะนำกลยุทธ์การเทรดที่ดีที่สุดและเป็นที่นิยมเพื่อให้คุณเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตัวเองและทำให้คุณก้าวสู่ความสำเร็จในตลาดได้ง่ายขึ้น

    สาระสำคัญ

    • กลยุทธ์การเทรดคือแผนที่มีโครงสร้างเพื่อเพิ่มผลกำไรสูงสุดพร้อมทั้งบริหารความเสี่ยง

    • กลยุทธ์ยอดนิยมได้แก่ การเทรดตามข่าว การเทรดตามแนวโน้ม และการเก็งกำไรระยะสั้น (Scalping)

    • แต่ละกลยุทธ์มีข้อดีและความเสี่ยงเฉพาะตัวดังนั้นควรเลือกให้เหมาะสมกับสไตล์และเป้าหมายของคุณ

    ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง

    ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ

    เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

    กลยุทธ์การเทรดคืออะไร?

    กลยุทธ์การเทรดคือแผนการที่ชัดเจนในการซื้อขายในตลาดการเงินเปรียบเสมือน "การวางแผนเล่นเกมส์" ที่นักเทรดใช้เพื่อเพิ่มผลกำไรและลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุดมีกลยุทธ์การเทรดหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับเวลา เทคนิค และสไตล์การเทรดของแต่ละคน

     

    องค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การเทรด

    ทุกกลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จจะต้องอาศัยองค์ประกอบสำคัญบางประการที่จะช่วยให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืน

    การบริหารความเสี่ยง คือหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการเทรดเพราะช่วยปกป้องเงินทุนของคุณโดยลดการขาดทุนให้น้อยที่สุด นอกจากนี้กลยุทธ์การเทรดยังช่วยกำหนดขีดจำกัดที่ชัดเจนว่าในการเทรดแต่ละครั้งคุณพร้อมที่จะเสี่ยงได้มากแค่ไหน

    นอกจากนี้การวิเคราะห์ทางเทคนิคยังมีบทบาทสำคัญในการคาดการณ์ทิศทางของราคาด้วยการอ่านกราฟ อินดิเคเตอร์ และ รูปแบบแพทเทิร์น นักเทรดสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบว่าควรเข้าเทรดหรือออกจากตลาดเมื่อใด

    สุดท้ายแผนการเทรดที่ชัดเจนจะช่วยรวมทุกอย่างไว้ในทิศทางเดียวกันแผนนี้เปรียบเสมือนแผนที่นำทางที่กำหนดกลยุทธ์การเข้าและออกการจัดขนาดการลงทุน (Position Sizing) และเป้าหมายการเทรดโดยรวม

    เมื่อรวมองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกันจะช่วยสร้างกลยุทธ์ที่แข็งแกร่งให้คุณมีโครงสร้างและวินัยที่จำเป็นสำหรับการจัดการกับความซับซ้อนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

     

    11 กลยุทธ์การเทรดยอดนิยม

    กลยุทธ์การเทรดมีความยืดหยุ่นสูงและสิ่งที่ได้ผลสำหรับคนหนึ่งอาจไม่เหมาะกับอีกคนไม่ว่าคุณจะชอบการเทรดที่รวดเร็วหรือการลงทุนในระยะยาวก็มีกลยุทธ์ที่ปรับให้เหมาะกับเป้าหมายของคุณได้

    ด้านล่างนี้คือกลยุทธ์การเทรดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด:

    1. กลยุทธ์การเทรดตามข่าว (News Trading Strategy)

    2. กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading Strategy)

    3. กลยุทธ์การเทรดตามกรอบ (Range Trading Strategy)

    4. กลยุทธ์การเทรดรายวัน (Day Trading Strategy)

    5. กลยุทธ์การเทรดสิ้นวัน (End-of-Day Trading Strategy)

    6. กลยุทธ์การเทรดแบบสวิง (Swing Trading Strategy)

    7. กลยุทธ์การเทรดแบบเก็งกำไรระยะสั้น (Scalping Trading Strategy)

    8. กลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว (Position Trading Strategy)

    9. กลยุทธ์การเทรดตามช่องว่างราคา (Gap Trading Strategy)

    10. กลยุทธ์การเทรดด้วยพฤติกรรมราคา (Price Action Trading Strategy)

    11. กลยุทธ์การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading Strategy)

     

    กลยุทธ์การเทรดตามข่าว (News Trading Strategy)

    การเทรดตามข่าวคือการใช้เหตุการณ์ในตลาดและข่าวเศรษฐกิจเป็นจุดศูนย์กลางกลยุทธ์นี้เกี่ยวกับการตอบสนองต่อข่าวสำคัญที่สามารถทำให้ราคาพุ่งขึ้นหรือลดลงอย่างรุนแรง

    ตัวอย่างเช่น ข่าวการเมือง การประกาศอัตราดอกเบี้ย รายงานการจ้างงานหรือผลประกอบการของบริษัท

    เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ตลาดเกิดความเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วหากคุณสามารถตอบสนองได้ไวพอคุณอาจทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเหล่านี้ได้

    ยกตัวอย่างจาก The Economic Times ที่รายงานว่าดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน หลังจากชัยชนะของโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐการตอบสนองต่อข่าวนี้อย่างรวดเร็วอาจทำให้คุณได้กำไรที่ดี

    แต่กลยุทธ์นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเร็วเพียงอย่างเดียวสิ่งสำคัญคือการรู้ว่าข่าวไหนสำคัญและมันจะส่งผลต่อราคาตลาดอย่างไร

     

    4 เคล็ดลับการเทรดตามข่าว

    การเทรดตามข่าวถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การเทรดที่ได้รับความนิยมและทรงพลังที่สุดหากใช้อย่างถูกต้องสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรได้อย่างมากต่อไปนี้คือเคล็ดลับสำคัญที่คุณไม่ควรพลาด:

    1. ติดตามข่าวสาร: ใช้แหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น แพลตฟอร์มข่าวการเงินหรือปฏิทินเศรษฐกิจเพื่อติดตามเหตุการณ์สำคัญที่กำลังจะมาถึง

    2. เลือกตลาดที่มีสภาพคล่องสูง: เทรดในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง เช่น ฟอเร็กซ์หรือหุ้นขนาดใหญ่ เพื่อให้สามารถเข้าหรือออกการเทรดได้อย่างราบรื่น

    3. เตรียมตัวล่วงหน้า:วิเคราะห์เหตุการณ์ในอดีตเพื่อคาดการณ์การตอบสนองของตลาดที่อาจเกิดขึ้น

    4. ใช้คำสั่ง Stop-Loss: ป้องกันความเสี่ยงจากการกลับตัวของราคาที่ไม่คาดคิดด้วยการตั้งระดับ stop-loss  อย่างชัดเจน

     

    ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์การเทรดตามข่าว

    กลยุทธ์การเทรดตามข่าวถือเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังมีข้อดีหลายประการแต่ก็มีความเสี่ยงอยู่บ้าง

     

    ข้อดี

    • กำไรเร็ว: การตอบสนองของตลาดต่อข่าวสามารถทำให้ราคาผันผวนอย่างรวดเร็วซึ่งเปิดโอกาสให้ทำกำไรทันที

    • โอกาสบ่อยครั้ง: เหตุการณ์ข่าวเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เทรดเดอร์มีโอกาสเข้าทำการเทรดหลายครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ

     

    ข้อเสีย

    • ความไม่แน่นอน: ตลาดอาจไม่ตอบสนองตามที่คาดหวังทำให้ผลลัพธ์ไม่สามารถคาดการณ์ได้

    • ความเครียด: การต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและติดตามข่าวสารตลอดเวลาอาจทำให้เกิดความเครียด

     

    กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading Strategy)

    การเทรดตามแนวโน้มมุ่งเน้นไปที่การระบุและติดตามแนวโน้มของตลาดไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง กลยุทธ์นี้คล้ายกับการเทรดตามข่าวแต่เน้นการเคลื่อนไหวของราคาที่กว้างขึ้นในตลาดและไม่เน้นความไวต่อเวลาเท่ากับการเทรดตามข่าว

    กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะยาวที่ยั่งยืน มากกว่าการผันผวนในระยะสั้นที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ตัวอย่างเช่น ในปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงการฟื้นตัวหลังการระบาดของโควิด-19 ตลาดหุ้นทั่วโลกมีแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนคาดหวังการเติบโตทางเศรษฐกิจที่กลับมาสู่สภาวะปกติ

    เทรดเดอร์ที่ใช้กลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้มและสามารถระบุโมเมนตัมนี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ อาจทำกำไรได้อย่างมหาศาลจากการถือครองตำแหน่งยาวในดัชนีหลักหรือกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ

     

    เคล็ดลับการเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading Strategy Tips)

    หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในการเทรดตามแนวโน้มควรจำเคล็ดลับเหล่านี้ไว้:

    1. ใช้เครื่องมือทางเทคนิค: เครื่องมือเช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages), MACD หรือ RSI สามารถช่วยยืนยันแนวโน้มและระบุจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น

    2. ยึดตามกรอบเวลา: ควรมุ่งเน้นไปที่กรอบเวลาที่คุณสะดวก เช่น รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายเดือน และหลีกเลี่ยงการถูกเบี่ยงเบนจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้น

    3. ตามแนวโน้มไปเรื่อยๆ: “The trend is your friend” หมายถึงผู้เทรดควรตามแนวโน้มของตลาดไปเรื่อยๆ คำแนะนำนี้สำคัญควรอยู่ในตำแหน่งลงทุนจนกว่าค่าเครื่องมือทางเทคนิคจะแสดงสัญญาณการกลับตัวที่ชัดเจน

    4. ตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop-Loss): เพื่อป้องกันตำแหน่งของคุณควรตั้งจุดหยุดขาดทุนต่ำกว่าจุดต่ำสุดล่าสุด (สำหรับตลาดขาขึ้น) หรือสูงกว่าจุดสูงสุดล่าสุด (สำหรับตลาดขาลง)

     

    ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม

    แม้ว่าการเทรดตามแนวโน้มจะเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแต่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่ควรพิจารณา

     

    ข้อดี

    • ความเรียบง่าย: เข้าใจง่ายทำให้เหมาะสำหรับมือใหม่

    • อัตราความสำเร็จสูง: กลยุทธ์นี้ใช้ได้ผลดีในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน

    • สามารถขยายได้: สามารถใช้ได้กับกรอบเวลาหรือสินทรัพย์หลายประเภท

     

    ข้อเสีย

    • แนวโน้มหลอก:การกลับตัวของตลาดที่ไม่คาดคิดหรือการเคลื่อนไหวของตลาดที่มีการแกว่งตัวอาจทำให้เกิดการขาดทุน

    • ต้องใช้ความอดทน:แนวโน้มอาจใช้เวลานานในการพัฒนา ทำให้เทรดเดอร์ต้องรอจนกว่าจะสามารถทำกำไรได้

     

    กลยุทธ์การเทรดตามกรอบ (Range Trading Strategy)

    การเทรดในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวตามกรอบมุ่งเน้นไปที่ตลาดที่มีการเคลื่อนไหวในช่วงราคาที่สามารถคาดเดาได้โดยราคาจะขยับไปมาระหว่าง ระดับแนวรับ (ราคาต่ำสุด) และ ระดับแนวต้าน (ราคาสูงสุด) การเทรดในกลยุทธ์นี้จะเน้นการทำกำไรจากการที่ราคาผ่านระดับเหล่านี้ไป (breakout points)

    ซึ่งเป็นจุดที่ราคามีการขยับข้ามผ่านแนวรับหรือแนวต้านอย่างมีนัยสำคัญ

    เทรดเดอร์มักจะตั้งเป้าที่จะซื้อที่ระดับแนวรับและขายที่ระดับแนวต้าน โดยการใช้ประโยชน์จากลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาที่ซ้ำๆ กัน

    เช่น หากราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวระหว่าง $50 และ $60 อย่างสม่ำเสมอเทรดเดอร์อาจจะซื้อที่ราคา $50 และขายที่ราคา $60 และทำเช่นนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ช่วงราคานั้นยังคงอยู่

    กลยุทธ์นี้จะได้ผลดีที่สุดในตลาดที่มีความเสถียร โดยราคามีการเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์ (sideways) แทนที่จะมีการเทรนขึ้นหรือลง

     

    เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์กลยุทธ์การเทรดตามกรอบ (Range Trading)

    การเทรดตามกรอบเหมาะสมที่สุดในตลาดที่มีความเสถียรและราคาสามารถคาดเดาได้ด้านล่างนี่คือวิธีการทำให้กลยุทธ์นี้ได้ผล:

    1. ระบุกรอบราคาที่ชัดเจน: ใช้ระดับแนวรับและแนวต้านบนกราฟเพื่อกำหนดช่วงราคา

    2. เทรดใกล้กับระดับสำคัญ: ซื้อใกล้กับแนวรับและขายใกล้กับแนวต้านเพื่อทำกำไรสูงสุด

    3. เฝ้าระวังการทะลุแนว: ระมัดระวังหากราคากำลังเข้าใกล้ขอบเขตของกรอบเพราะการ ทะลุแนว (breakout) อาจทำให้กลยุทธ์นี้ใช้ไม่ได้

    4. ใช้เครื่องมือ Oscillators: เครื่องมืออย่าง RSI หรือ Stochastic Oscillator สามารถช่วยยืนยันสถานะการซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป

     

    ประโยชน์และความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดตามกรอบ

    การเทรดตามกรอบราคามีความคาดเดาได้เพราะอาศัยการเคลื่อนไหวของราคาภายในระดับแนวรับและแนวต้านที่ชัดเจนทำให้เหมาะสมที่สุดในตลาดที่มีเสถียรภาพอย่างไรก็ตามการทะลุแนวที่ไม่คาดคิดเหนือกรอบราคานั้นอาจทำให้เกิดการขาดทุนที่ไม่คาดฝันและศักยภาพการทำกำไรที่จำกัดอาจไม่เหมาะกับเทรดเดอร์ทุกคน

     

    กลยุทธ์การเทรดรายวัน

    การเทรดรายวันหมายถึงการซื้อขายหลักทรัพย์ภายในวันซื้อขายเดียวกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้นเป็นกลยุทธ์ที่ต้องอาศัยการตัดสินใจที่รวดเร็วและการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด

    ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์รายวันอาจสังเกตเห็นราคาหุ้นเทคโนโลยีพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเช้าและตัดสินใจซื้อหุ้นโดยคาดว่ากระแสจะยังคงดำเนินต่อไป

    ต่อมาพวกเขาขายหุ้นก่อนที่ตลาดจะปิดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงข้ามคืน

    การเทรดรายวันได้รับความนิยมเพราะมีศักยภาพในการทำกำไรอย่างรวดเร็วแต่ก็ต้องอาศัยวินัย สมาธิ และการบริหารความเสี่ยงที่แข็งแกร่ง

     

    4 เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดรายวัน

    การเทรดรายวันต้องอาศัยความรวดเร็วและมีวินัยลองทำตามเคล็ดลับเหล่านี้:

    1. เทรดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง: เน้นการเทรดในฟอเร็กซ์ หุ้นขนาดใหญ่ หรือดัชนีที่มีปริมาณการซื้อขายสูง

    2. เฝ้าติดตามตลาดอย่างต่อเนื่อง: จับตาดูการเคลื่อนไหวของราคาในระหว่างวัน

    3. ยึดมั่นในอัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: ควรรักษาสัดส่วนอย่างน้อย 1:2 เพื่อให้ผลตอบแทนที่เป็นไปได้สูงกว่าความเสี่ยง

     

    ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดรายวัน

    การเทรดรายวันช่วยให้เทรดเดอร์หลีกเลี่ยงความเสี่ยงข้ามคืนและทำกำไรได้อย่างรวดเร็วจากการเคลื่อนไหวของราคาในระหว่างวัน อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้ต้องการสมาธิอย่างมากการตัดสินใจที่รวดเร็ว และอาจนำไปสู่ต้นทุนการทำธุรกรรมที่สูงซึ่งอาจลดความสามารถในการทำกำไรรวมได้

     

    กลยุทธ์การเทรดสิ้นวัน (End-of-Day Trading Strategy)

    กลยุทธ์การเทรดสิ้นวันมุ่งเน้นที่การวิเคราะห์ตลาดและการตัดสินใจในช่วงใกล้ตลาดปิดการซื้อขายเทรดเดอร์ใช้กลยุทธ์นี้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลของวัน เช่น ราคาปิดและรูปแบบกราฟแท่งเทียนและวางคำสั่งซื้อขายที่ดำเนินการในวันถัดไป

    ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์สังเกตว่ารูปแบบกราฟแท่งเทียนรายวันแสดงสัญญาณกลับตัวขาขึ้นและวางคำสั่งซื้อ

    เนื่องจากกลยุทธ์นี้ไม่ต้องติดตามตลาดตลอดทั้งวันจึงเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ทำงานพาร์ทไทม์ อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงข้ามคืนจากช่องว่างของตลาดที่อาจเกิดขึ้น

     

    เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดสิ้นวัน

    การเทรดสิ้นวันเหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีเวลาจำกัดลองทำตามเคล็ดลับเหล่านี้เพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ:

    1. เน้นกราฟรายวัน: วิเคราะห์รูปแบบกราฟแท่งเทียนรายวันเพื่อหาสัญญาณสำคัญ

    2. วางแผนการเทรดล่วงหน้า: ใช้ราคาปิดเพื่อกำหนดคำสั่งซื้อขายสำหรับวันถัดไป

    3. ติดตามข่าวสาร: เฝ้าดูเหตุการณ์เศรษฐกิจมหภาคที่อาจส่งผลต่อสถานะการเทรดข้ามคืน

    4. ใช้ระดับหยุดขาดทุนที่กว้าง: คำนึงถึงความผันผวนหรือช่องว่างของราคาที่อาจเกิดขึ้นในช่วงข้ามคืน

     

    ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดสิ้นวัน

    กลยุทธ์การเทรดสิ้นวันใช้เวลาน้อยกว่าและช่วยให้เทรดเดอร์มุ่งเน้นไปที่แนวโน้มที่น่าเชื่อถือในกราฟรายวันจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาจำกัด อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่เกิดจากช่องว่างของราคาข้ามคืนอาจนำไปสู่การขาดทุนและโอกาสในการเทรดที่น้อยลงอาจจำกัดการเติบโตของผลกำไร

     

    กลยุทธ์การเทรดแบบสวิง (Swing Trading Strategy)

    การเทรดแบบสวิงเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการเคลื่อนไหวของราคาระยะกลางโดยถือสถานะการเทรดนานตั้งแต่หลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์เพื่อจับ "การแกว่งตัว" ของโมเมนตั้มในตลาด

    เทรดเดอร์จะมองหาโอกาสหลังจากการปรับฐานในแนวโน้มขาขึ้นหรือการดีดตัวในแนวโน้มขาลง

    ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์แบบสวิงสังเกตเห็นหุ้นที่อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นแต่มีการปรับตัวลงชั่วคราว

    พวกเขาซื้อในช่วงราคาลดลงถือหุ้นไว้ไม่กี่วันจนราคาฟื้นตัวและขายทำกำไรเมื่อโมเมนตัมถึงจุดสูงสุด

    กลยุทธ์นี้เป็นการผสมผสานระหว่างการเทรดเร็วและการลงทุนระยะยาวทำให้เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ไม่สามารถติดตามตลาดตลอดเวลาแต่ยังต้องการความถี่ในการเทรดที่มากกว่าการเทรดแบบถือสถานะระยะยาว

     

    เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบสวิง

    การเทรดแบบสวิงจับการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะกลางซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จด้วยเคล็ดลับเหล่านี้:

    1. ระบุแนวโน้ม: ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เพื่อยืนยันทิศทางโดยรวมของตลาด

    2. จับจังหวะการเข้าซื้อด้วยเครื่องมือ: ใช้เครื่องมือเช่น RSI หรือ Fibonacci retracements เพื่อหาจุดเข้าที่แม่นยำ

    3. มีความอดทน: ให้เวลากับการเทรดพัฒนาไปในช่วงระยะเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์

    4. ตั้งราคาเป้าหมาย: กำหนดระดับกำไรและหยุดขาดทุนตามจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของการสวิง

     

    ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดแบบสวิง

    การเทรดแบบสวิงเป็นการผสมผสานระหว่างความยืดหยุ่นและความสามารถในการทำกำไรโดยมุ่งเป้าไปที่การเคลื่อนไหวของราคาในระยะกลาง ซึ่งช่วยให้ได้กำไรต่อการเทรดแต่ละครั้งมากกว่ากลยุทธ์การเทรดในวันเดียวกัน อย่างไรก็ตามความผันผวนของตลาดและการถือสถานะข้ามคืนอาจทำให้ผู้เทรดต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้

     

    กลยุทธ์การเทรดแบบเก็งกำไรระยะสั้น (Scalping)

    Scalping เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์การเทรดในวันเดียวที่เน้นการเทรดด้วยความรวดเร็ว โดยมุ่งหวังกำไรเล็กน้อยแต่บ่อยครั้งจากการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นผู้ที่ใช้กลยุทธ์

    Scalping มักจะถือสถานะเพียงไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที โดยเน้นการเทรดในตลาดที่มีสภาพคล่องสูงเพื่อให้สามารถเข้าและออกจากตำแหน่งได้อย่างรวดเร็ว
    ตัวอย่างเช่น ผู้เทรดแบบ Scalping อาจซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ $100.10 และขายในเวลาต่อมาเพียงไม่กี่วินาทีที่ราคา $100.15 ซึ่งสร้างกำไรเล็กน้อยแต่ต่อเนื่องได้อย่างสม่ำเสมอ

    แม้ว่าการเทรดแบบ Scalping จะสามารถทำกำไรได้หากดำเนินการอย่างเชี่ยวชาญแต่กลยุทธ์นี้ต้องการความตั้งใจและความจดจ่ออย่างสูงรวมถึงการตัดสินใจที่รวดเร็วและการใช้เครื่องมือการเทรดที่มีความถี่สูงเพื่อให้การดำเนินการซื้อขายมีประสิทธิภาพและทันเวลา

     

    4 เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping

    การเทรดแบบ Scalping เน้นความแม่นยำและความรวดเร็วนี่คือวิธีทำให้ประสบความสำเร็จ:

    1. เน้นตลาดที่มีสภาพคล่องสูง: เลือกเทรดในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาดฟอเร็กซ์หรือตลาดหุ้นขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถเข้าและออกจากสถานะได้อย่างรวดเร็ว

    2. เลือกสินทรัพย์ที่มีสเปรดต่ำ: ลดต้นทุนต่อการเทรดโดยเลือกสินทรัพย์ที่มีส่วนต่างราคาซื้อ-ขาย (Spread) ต่ำ

    3. ตั้งเป้าหมายกำไรที่รวดเร็ว: มุ่งเน้นการทำกำไรเล็กน้อยแต่บ่อยครั้งโดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและใช้คำสั่ง Stop-loss ที่แน่นหนาเพื่อควบคุมความเสี่ยงและป้องกันการขาดทุนมากเกินไป

    4. ใช้เทคโนโลยีเสริมการเทรด: ใช้แพลตฟอร์มการเทรดและเครื่องมือที่มีความเร็วสูงเพื่อให้การดำเนินการซื้อขายมีประสิทธิภาพและแม่นยำ

     

    ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping

    การเทรดแบบ Scalping เปิดโอกาสในการทำกำไรบ่อยครั้งและลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดเนื่องจากระยะเวลาการถือสถานะที่สั้น อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้ต้องจดจ่ออย่างมาก การดำเนินการที่รวดเร็วและอาจมีต้นทุนการทำธุรกรรมที่สูงเนื่องจากปริมาณการเทรดที่มาก

     

    กลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว (Position Trading)

    กลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว (Position Trading) เป็นแนวทางการเทรดระยะยาวที่ผู้เทรดถือสถานะเป็นเวลาหลายสัปดาห์ หลายเดือน หรือแม้กระทั่งเป็นปี โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรจากแนวโน้มตลาดที่สำคัญหรือการเปลี่ยนแปลงทางปัจจัยพื้นฐาน

    กลยุทธ์นี้ไม่ได้เน้นที่การเคลื่อนไหวของราคาในแต่ละวันแต่ให้ความสำคัญกับทิศทางของตลาดในภาพรวมมากกว่า

    ตัวอย่างเช่น ผู้เทรดอาจซื้อหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งและถือหุ้นนั้นในระยะยาวขณะที่บริษัทมีการขยายตัวต่อเนื่องในปีถัดไป

    การเทรดแบบ Position Trading ต้องการความอดทนและความเข้าใจเชิงลึกทั้งในด้านการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคแต่เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเทรดที่ไม่บ่อยครั้งนัก

     

    เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว

    กลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว (Position Trading) เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวนี่คือวิธีเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ:

    • ใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน: เน้นที่ตัวชี้วัดเศรษฐกิจระยะยาวและปัจจัยพื้นฐานของบริษัท

    • ติดตามข่าวสารด้านเศรษฐกิจมหภาค: เฝ้าดูปัจจัยต่าง ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยและการเติบโตของ GDP

    • เพิกเฉยต่อความผันผวนในระยะสั้น: มุ่งความสนใจไปที่ภาพรวมในระยะยาว

    • กระจายพอร์ตการลงทุน:  ลดความเสี่ยงโดยการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท

     

    ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดแบบระยะยาว

    การเทรดแบบระยะยาว (Position Trading)  ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรจากแนวโน้มตลาดระยะยาว โดยใช้เวลาในการบริหารจัดการน้อย อย่างไรก็ตามการถือสถานะในระยะยาวอาจทำให้นักลงทุนเผชิญกับความผันผวนของตลาดและอาจทำให้เงินทุนถูกผูกไว้ในสินทรัพย์ซึ่งลดสภาพคล่องในพอร์ตการลงทุน

     

    กลยุทธ์การเทรดตามช่องว่างราคา (Gap Trading)

    กลยุทธ์ Gap Trading มุ่งเน้นไปที่การซื้อขายตามช่องว่างของราคา (Price Gap) ที่เกิดขึ้นเมื่อสินทรัพย์เปิดตลาดด้วยราคาที่สูงกว่าหรือต่ำกว่าราคาปิดของวันก่อนหน้าอย่างชัดเจน ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากข่าวหรือเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นหลังเวลาทำการตลาด

    ผู้เทรดจะใช้โอกาสนี้เพื่อทำกำไรจากการปรับตัวของราคาหลังจากเกิดช่องว่างไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวที่เติมเต็มช่องว่างหรือการสร้างแนวโน้มใหม่ที่ชัดเจน

    ตัวอย่างเช่น หากหุ้นปิดตลาดที่ราคา $90 และเปิดตลาดในวันถัดไปที่ราคา $95 เนื่องจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งผู้เทรดอาจตัดสินใจซื้อหุ้น โดยคาดหวังว่าแรงผลักดันของราคาจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป

    ในทางกลับกันผู้เทรดอาจเลือกขายชอร์ต (Short Sell) หุ้นนั้นโดยคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลดลง (Correction) หลังจากที่เปิดตลาดสูงเกินไป

    กลยุทธ์นี้ไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นและเหมาะกับผู้เทรดที่มีประสบการณ์ซึ่งสามารถวิเคราะห์และตัดสินใจตามสภาวะตลาดได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

     

    เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดตามช่องว่างราคา

    การเทรดตามช่องว่างราคา (Gap Trading) ใช้ประโยชน์จากช่องว่างของราคาที่เกิดขึ้นข้ามคืนนี่คือวิธีเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ:

    1. ใช้ข้อมูลก่อนตลาดเปิด: วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาก่อนตลาดเปิดเพื่อประเมินแนวโน้มและช่องว่างของราคา

    2. ยืนยันช่องว่างราคา: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าช่องว่างที่เกิดขึ้นมีสาเหตุจากข่าวสำคัญหรือการเปลี่ยนแปลงของปริมาณการซื้อขาย

    3. ตั้งจุดหยุดขาดทุนที่แน่นหนา: ป้องกันความเสี่ยงจากการกลับตัวของราคาด้วยการจำกัดการขาดทุน

    4. เทรดสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง: เลือกเทรดหุ้นหรือคู่เงินฟอเร็กซ์ที่มีปริมาณการซื้อขายสูง

     

    ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดตามช่องว่างราคา

    การเทรดตามช่องว่างราคา (Gap Trading) สามารถสร้างกำไรได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากตลาดมีการปรับตัวตามช่องว่างของราคาที่เกิดจากข่าวสำคัญในช่วงข้ามคืน อย่างไรก็ตามช่องว่างของราคาอาจกลับทิศทางโดยไม่คาดคิดทำให้กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยการตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำสูง

     

    กลยุทธ์การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading)

    การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading) คือการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการดำเนินการซื้อขายโดยอิงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เช่น ราคา ปริมาณการซื้อขาย หรือเวลา กลยุทธ์เหล่านี้มีตั้งแต่ระบบที่อิงตามกฎง่าย ๆ ไปจนถึงโมเดลที่ใช้การเรียนรู้ของเครื่องขั้นสูง (Machine Learning) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเทรด

    ตัวอย่างเช่น อัลกอริทึมอาจตั้งโปรแกรมให้ซื้อหุ้นโดยอัตโนมัติเมื่อราคาทะลุเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน และขายเมื่อราคาถึงเป้าหมายกำไรที่กำหนดไว้

    การเทรดด้วยอัลกอริทึมได้รับความนิยมเนื่องจากความรวดเร็วและความแม่นยำแต่กลยุทธ์นี้จำเป็นต้องใช้งานเทคโนโลยีที่มีความซับซ้อนและต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดหรือสถานการณ์ตลาดที่ไม่คาดคิด

     

    4 เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดด้วยอัลกอริทึม

    การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading) ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี่คือวิธีเพิ่มประสิทธิภาพ:

    1. กำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน: ตั้งโปรแกรมอัลกอริทึมด้วยเกณฑ์การซื้อขายที่ชัดเจนและแม่นยำ

    2. ทดสอบย้อนหลังอย่างละเอียด: ใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อทดสอบกลยุทธ์ว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่

    3. ตรวจสอบผลการทำงานอย่างสม่ำเสมอ: เฝ้าติดตามข้อผิดพลาดของอัลกอริทึมหรือการเปลี่ยนแปลงในตลาดอย่างต่อเนื่อง

    4. ปรับปรุงให้ทันสมัย: อัปเดตอัลกอริทึมให้สอดคล้องกับสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง

     

    ข้อดีและความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดด้วยอัลกอริทึม

    การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading) มอบความรวดเร็ว ความสม่ำเสมอ และการดำเนินการที่ปราศจากอารมณ์ช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพสูง อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้มีความเสี่ยงต่อความล้มเหลวทางเทคนิคและการพึ่งพาผลการทดสอบย้อนหลังมากเกินไปอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ดีในสภาพตลาดจริง

     

    กลยุทธ์การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action Trading)

    การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action Trading) เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาที่แท้จริงโดยไม่พึ่งพาอินดิเคเตอร์หรืออัลกอริทึมมาก

    นักเทรดใช้การสังเกตรูปแบบต่าง ๆ เช่น การก่อตัวของแท่งเทียน ระดับแนวรับและแนวต้านและเส้นแนวโน้มเพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อขาย

    ตัวอย่างเช่น หากผู้เทรดสังเกตเห็นรูปแบบแท่งเทียนกระทิงล้อม (Bullish Engulfing) ใกล้ระดับแนวรับพวกเขาอาจเปิดสถานะซื้อ (Long Position) โดยคาดหวังว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้น

    การเทรดตามพฤติกรรมราคามีความยืดหยุ่นและสามารถใช้งานได้ในหลากหลายกรอบเวลาแต่กลยุทธ์นี้ต้องการทักษะการวิเคราะห์ที่แข็งแกร่งและประสบการณ์ในการตีความรูปแบบราคาอย่างถูกต้อง

     

    เคล็ดลับสำหรับกลยุทธ์การเทรดตามพฤติกรรมราคา

    การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action) เน้นการวิเคราะห์กราฟราคาเป็นหลัก นี่คือวิธีทำให้ประสบความสำเร็จ:

    1. เน้นที่รูปแบบราคา: ศึกษารูปแบบที่พบบ่อย เช่น Pin Bars และ Engulfing Candles เพื่อระบุโอกาสในการเทรด

    2. ใช้แนวรับและแนวต้าน: ทำการซื้อขายโดยพิจารณาการตอบสนองของราคาที่ระดับแนวรับและแนวต้านสำคัญ

    3. ลดการใช้เครื่องมือเกินความจำเป็น: หลีกเลี่ยงการใส่อินดิเคเตอร์มากเกินไปบนกราฟ เพื่อรักษาความเรียบง่ายและเน้นข้อมูลสำคัญ

    4. เข้าใจบริบทตลาด: วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาภายใต้แนวโน้มตลาดในภาพรวมเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ

     

    ประโยชน์และความเสี่ยงของกลยุทธ์การเทรดตามพฤติกรรมราคา

    การเทรดตามพฤติกรรมราคา (Price Action) มีความเรียบง่ายและยืดหยุ่นสามารถปรับใช้ได้กับหลากหลายตลาดและกรอบเวลา อย่างไรก็ตามการตีความรูปแบบราคานั้นมีลักษณะเชิงอัตวิสัย (Subjective) และต้องอาศัยประสบการณ์ในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของตลาดอย่างแม่นยำ

     

    บทสรุป

    การมีกลยุทธ์การเทรดที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการนำทางในตลาดการเงินที่ซับซ้อนไม่ว่าคุณจะชอบวิธีการระยะสั้น เช่น Scalping หรือวิธีการระยะยาว เช่น Position Trading มีกลยุทธ์ที่ตอบโจทย์เป้าหมายของคุณ

    ด้วยการทำความเข้าใจถึงข้อดีและข้อเสียของแต่ละกลยุทธ์คุณจะสามารถสร้างแผนการเทรดที่สอดคล้องกับสไตล์การลงทุนและความยอมรับความเสี่ยงของคุณได้อย่างมั่นใจ

    พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?

    เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย

    รับสิทธิ์เข้าถึงฟรี
    สารบัญ

      คำถามที่พบบ่อย

      กลยุทธ์ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับสไตล์และเป้าหมายการเทรดของคุณผู้เริ่มต้นมักเริ่มต้นด้วยการเทรดตามแนวโน้ม (Trend Trading) หรือการเทรดแบบสวิง (Swing Trading)

      กฎนี้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มขนาดสถานะในสามขั้นตอน: เปิดสถานะที่ 3% เพิ่มเป็น 5% และปิดสถานะที่ 7% โดยเน้นการจัดการขนาดสถานะและความเสี่ยงในระยะสั้น กลาง และยาว

      มีกลยุทธ์หลัก 4 ประเภท ได้แก่ การเทรดแบบเกร็งกำไรระยะสั้น (Scalping)  การเทรดรายวัน (Day Trading) การเทรดแบบสวิง (Swing Trading) และ การเทรดแบบระยะยาว(Position Trading)

      กลยุทธ์นี้แนะนำให้เสี่ยงไม่เกิน 2% ของเงินทุนการเทรดทั้งหมดในแต่ละการเทรดเพื่อจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น

      Nathalie Okde

      Nathalie Okde

      นักเขียนเนื้อหา SEO

      นาตาลี อ็อกเดะห์ (Nathalie Okdeh) เป็นนักเขียนเนื้อหาสำหรับ SEO ที่มีประสบการณ์เกือบสองปี โดยเชี่ยวชาญด้านการเงินเชิงการศึกษาและเนื้อหาเกี่ยวกับการเทรด นาตาลีผสมผสานการคิดวิเคราะห์เข้ากับความหลงใหลในการเขียนเพื่อทำให้หัวข้อทางการเงินที่ซับซ้อนกลายเป็นเรื่องง่ายและน่าสนใจสำหรับผู้อ่าน  

      เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง

      scroll top