ฟอเร็กซ์
การเทรดเบรคโครงสร้าง (BOS) คืออะไร?
เขียนโดย XS Editorial Team
อัปเดตแล้ว 31 มกราคม 2025
สารบัญ
การเทรดเบรคโครงสร้าง (Break of Structure - BOS) เป็นแนวคิดสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุจุดเปลี่ยนสำคัญในตลาด ซึ่งแนวโน้มอาจเปลี่ยนจากแนวโน้มหนึ่งไปสู่อีกแนวโน้ม
ด้วยการสังเกตจุดเปลี่ยนเหล่านี้ตั้งแต่เนิ่น ๆ นักลงทุนสามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้ดียิ่งขึ้นเข้าและออกตลาดในเวลาที่เหมาะสมและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในบทความนี้เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจตั้งแต่การระบุประเภทต่าง ๆ ของการเทรดเบรคโครงสร้าง (Break of Structure - BOS) ไปจนถึงการนำไปปรับใช้ในกลยุทธ์การเทรดอย่างครบถ้วน
สาระสำคัญ
-
BOS เกิดขึ้นเมื่อราคาของสินทรัพย์เคลื่อนผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านก่อนหน้า ซึ่งมักบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้น
-
BOS มี 3 ประเภทหลัก ได้แก่ Bullish BOS Bearish BOS และ False Breaks ซึ่งแต่ละประเภทให้ข้อมูลเชิงลึกที่แตกต่างกันเกี่ยวกับความรู้สึกของตลาดที่เปลี่ยนแปลง
-
กลยุทธ์การเทรด BOS ที่มีประสิทธิภาพควรรวมถึงจุดเข้าเทรดที่ยืนยันแล้วการตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) อย่างรอบคอบและการกำหนดเป้าหมายทำกำไร (Take Profit) ที่สอดคล้องกับแนวโน้มใหม่
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายการเทรดเบรคโครงสร้าง (BOS) คืออะไร?
การเทรดเบรคโครงสร้าง (Break of Structure - BOS) เกิดขึ้นเมื่อราคาของสินทรัพย์เคลื่อนผ่านระดับ แนวรับ หรือ แนวต้าน ก่อนหน้าซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนทิศทางของตลาด
แตกต่างจากความผันผวนเล็กน้อยในตลาดทั่วไป BOS ที่แท้จริงแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญในแนวโน้มพื้นฐานของสินทรัพย์ โดยบ่งชี้ว่าตลาดกำลังเปลี่ยนจากแนวโน้มหนึ่งไปสู่อีกแนวโน้มหนึ่ง
ประเภทของเบรคโครงสร้าง
เบรคโครงสร้าง (Break of Structure) มี 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ Bullish BOS Bearish BOS และ False Breaks โดยแต่ละรูปแบบแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงเฉพาะในตลาด มาดูรายละเอียดของแต่ละประเภทกัน
เบรคโครงสร้างกระทิง (Bullish BOS)
โครงสร้างเบรคกระทิง (Bullish BOS) เกิดขึ้นเมื่อราคาของสินทรัพย์ทะลุผ่านระดับแนวต้านที่กำหนดไว้ก่อนหน้านี้ซึ่งบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าฝั่งซื้อเริ่มเข้าควบคุมตลาดและอาจนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของราคาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อตลาดยืนยันการทะลุผ่านแนวต้านเทรดเดอร์สามารถเปิดสถานะการซื้อที่สอดคล้องกับแนวโน้มที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นในตลาด
เบรคโครงสร้างหมี (Bearish BOS)
โครงสร้างเบรคหมี (Bearish BOS) เกิดขึ้นเมื่อราคาหลุดแนวรับที่เคยเป็นจุดสำคัญมาก่อน ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มขาลงของตลาด
นี่คือสัญญาณให้เทรดเดอร์พิจารณาขายหรือเปิดสถานะขายชอร์ตเพราะตลาดอยู่ในความควบคุมของฝั่งขาย
การสังเกต Bearish BOS ตั้งแต่แรกจะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จากการปรับตัวลงของราคาและสามารถตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) เพื่อจำกัดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เบรคหลอกและวิธีหลีกเลี่ยง
ไม่ใช่ทุกเบรคโครงสร้าง (Break of Structure - BOS) จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่ยั่งยืนเสมอไปบางครั้งราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านเพียงชั่วคราวก่อนที่จะกลับเข้าสู่ช่วงราคาเดิมสถานการณ์
แบบนี้เรียกว่าเบรคหลอก หรือ การทะลุหลอก
เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักเหล่านี้เทรดเดอร์มักใช้เทคนิคการยืนยันโครงสร้างเบรค เช่น การรอให้ราคากลับมาทดสอบ (Retest) ระดับที่ทะลุไป หรือการวิเคราะห์ตัวชี้วัดปริมาณการซื้อขาย (Volume Indicators) เพื่อเพิ่มความมั่นใจในสัญญาณ
ทำไมเบรคโครงสร้าง (BOS) ถึงสำคัญ?
เมื่อคุณเข้าใจว่าเบรคโครงสร้าง Break of Structure (BOS) คืออะไรคุณคงเริ่มเห็นเหตุผลว่าทำไมนักเทรดถึงให้ความสำคัญกับมัน BOS ช่วยให้นักเทรดระบุจุดเปลี่ยนของแนวโน้มในตลาดได้อย่างชัดเจน โดยให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับจุดเข้า-ออก และทิศทางแนวโน้มของตลาด
เหตุผลที่ BOS มีความสำคัญ:
-
สัญญาณแนวโน้มที่ชัดเจน: BOS ช่วยเปิดเผยทิศทางของตลาดไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Bullish) หรือแนวโน้มขาลง (Bearish) ทำให้นักเทรดสามารถวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับความรู้สึกของตลาดได้
-
จุดเข้า-ออกที่แม่นยำ: BOS แสดงจุดซื้อขายที่เหมาะสม โดยการระบุการทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ ช่วยให้การตั้งจุดหยุดการขาดทุน (Stop-Loss) และจุดทำกำไร (Take-Profit) ง่ายขึ้น
-
ลดความเสี่ยง: การตั้งจุดหยุดการขาดทุน (Stop-Loss) ในระดับที่ชัดเจนเหนือหรือใต้จุดเบรค (Breakpoint) ช่วยบริหารความเสี่ยงได้ดีโดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง
-
ใช้งานได้กับทุกช่วงเวลา: BOS มีความยืดหยุ่นและสามารถใช้งานได้ในทุกกรอบเวลาตั้งแต่การเทรดระยะสั้นไปจนถึงกลยุทธ์ระยะยาว
เบรคโครงสร้าง (BOS) เป็นแนวคิดของ ICT หรือไม่?
ใช่แล้ว! เบรคโครงสร้าง(BOS) เป็นส่วนสำคัญของแนวคิดการเทรดแบบ ICT (เทรดวงใน)
ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เน้นการมองตลาดเหมือนกับนักลงทุนสถาบัน ICT ให้ความสำคัญกับการเข้าใจโครงสร้างตลาด สภาพคล่อง และการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้ม
BOS ใน ICT ใช้เพื่อระบุจุดเปลี่ยนสำคัญในตลาดโดยดูจากการที่ราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านสำคัญที่เคยมีมาก่อน นอกจากนี้ BOS ยังถูกนำมาใช้ร่วมกับแนวคิดอื่น ๆ เช่น โซนสภาพคล่อง (Liquidity Zones) และ โซนอุปสงค์และอุปทาน เพื่อช่วยให้นักเทรดวิเคราะห์ตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น
การใช้ BOS กับหลักการของ ICT ทำให้นักเทรดสามารถเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาตลาดแบบเรียลไทม์
การผสมผสานนี้ช่วยให้นักเทรดสามารถวางกลยุทธ์การเทรดได้อย่างแม่นยำและครอบคลุมยิ่งขึ้น
วิธีระบุเบรคโครงสร้าง (BOS)
เนื่องจากเบรคโครงสร้าง (BOS) มีความสำคัญมากการเรียนรู้วิธีระบุ BOS จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาดูวิธีหลัก ๆ ในการสังเกต BOS ในการเทรดแบบเรียลไทม์กัน
รูปแบบแท่งเทียนและการเคลื่อนไหวของราคาใน BOS
หนึ่งในวิธีที่ง่ายและตรงที่สุดในการสังเกตเบรคโครงสร้างคือการดูแพทเทิร์นแท่งเทียนและพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคา
รูปแบบแท่งเทียนบางประเภท เช่น engulfing candles และ Pin Bars มักเป็นสัญญาณของ BOS ซึ่งแสดงว่าราคาได้ทะลุแนวรับหรือแนวต้านก่อนหน้า
รูปแบบเหล่านี้ให้เบาะแสแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับความแข็งแกร่งของการเปลี่ยนแปลงซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องพึ่งพาตัวชี้วัดที่ล่าช้า
เส้นแนวโน้มและช่องแนวโน้ม
เส้นแนวโน้ม (Trend Lines) และช่องแนวโน้ม (Trend Channels) เป็นเครื่องมือที่มองเห็นได้ง่ายและมีประสิทธิภาพในการสังเกตโครงสร้างเบรค (BOS)
การวาด เส้นแนวโน้ม ตามจุดสูงสุดหรือต่ำสุดล่าสุดช่วยให้นักเทรดมองเห็นขอบเขตที่แสดงถึงทิศทางปัจจุบันของตลาดได้อย่างชัดเจน
เมื่อราคาทะลุเส้นเหล่านี้มักเป็นสัญญาณของการกลับตัวของแนวโน้มหรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่สำคัญ
การใช้ช่องแนวโน้มช่วยเพิ่มมิติอีกขั้นโดยแสดงถึงการเคลื่อนไหวของราคาภายในขอบเขตหรือการทะลุขอบเขตที่กำหนดไว้
การทะลุเส้นแนวโน้มช่วยยืนยันว่า BOS เป็นของจริงทำให้นักเทรดเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่าแนวโน้มของตลาดอาจมุ่งหน้าไปทางใดในขั้นต่อไป
ตัวชี้วัดสำหรับเบรคโครงสร้าง (BOS)
แม้ว่า BOS มักถูกระบุด้วยการสังเกตด้วยสายตาแต่ตัวชี้วัด (Indicators) ให้ข้อมูลเชิงปริมาณเพื่อสนับสนุนการวิเคราะห์ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดบน BOS ที่เป็นเบรคหลอก (False Break)
ต่อไปนี้คือตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับการยืนยัน BOS
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages)
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการติดตามแนวโน้มของตลาด
เมื่อค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (เช่น 20-period) ตัดผ่านขึ้นหรือลงใต้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว (เช่น 50-period) จะบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่อาจสอดคล้องกับ BOS
-
การที่ราคาทะลุขึ้นเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถส่งสัญญาณถึง Bullish BOS
-
การที่ราคาทะลุลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถส่งสัญญาณถึง Bearish BOS
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยลดความผันผวนของราคาทำให้ง่ายต่อการมองเห็นทิศทางแนวโน้มพื้นฐาน โดยไม่มีสิ่งรบกวนจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เล็กน้อย
MACD (Moving Average Convergence Divergence)
MACD เป็นตัวชี้วัดที่ใช้ติดตามความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น และสามารถบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของแรงผลักดัน (Momentum) ที่สอดคล้องกับ Break of Structure (BOS)
-
เมื่อเส้น MACD ตัดขึ้นเหนือเส้นสัญญาณ (Signal Line) หลังจากเกิด Bullish BOS จะยืนยันถึงแรงผลักดันในทิศทางขาขึ้น
-
เมื่อเส้น MACD ตัดลงใต้เส้นสัญญาณหลังจากเกิดโครงสร้างหมี (Bearish BOS) จะบ่งชี้ถึงแรงผลักดันในทิศทางขาลง
MACD มีความสำคัญอย่างมากในการช่วยกรองความผันผวนเล็กน้อยในตลาดและช่วยยืนยันว่า BOS ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของตลาดที่แท้จริง
Relative Strength Index (RSI)
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (RSI) เป็นตัวชี้วัดแบบ Momentum Oscillator ที่ใช้วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวของราคาโดยช่วยบอกว่าสินทรัพย์อยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
การยืนยัน BOS ด้วย RSI:
-
ค่า RSI ที่สูงกว่า 70 อาจบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นหลังจากเกิด BOS
-
ค่า RSI ที่ต่ำกว่า 30 อาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลง
RSI ช่วยตรวจสอบว่า BOS มีแรงผลักดันเพียงพอที่จะรักษาแนวโน้มได้หรือไม่ทำให้นักเทรดมีความมั่นใจมากขึ้นในความน่าเชื่อถือของ BOS ที่เกิดขึ้น
Bollinger Bands
Bollinger Bands ประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) และเส้นส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานสองเส้นที่ขยายและย่อตัวตามความผันผวน
การที่ราคาทะลุกรอบบนหรือล่างของ Bollinger Bands มักบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางราคาที่สำคัญซึ่งสอดคล้องกับ BOS
-
เมื่อราคาทะลุกรอบบนของ Bollinger Bands หลังจากเกิด BOS จะบ่งบอกถึงโมเมนตั้มขาขึ้น
-
เมื่อราคาทะลุกรอบล่างของ Bollinger Bands จะบ่งชี้ถึงโมเมนตั้มขาลง
Bollinger Bands ช่วยระบุว่า BOS มาพร้อมกับความผันผวนที่เพิ่มขึ้นหรือไม่ซึ่งมักเป็นสัญญาณว่า BOS อาจนำไปสู่แนวโน้มที่ยั่งยืนในตลาด
กลยุทธ์การเทรดเบรคโครงสร้าง (BOS)
การพัฒนากลยุทธ์การเทรดโดยอิงจากโครงสร้างตลาดสามารถช่วยเพิ่มผลกำไรและลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปนี้คือองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การเทรด BOS
จุดเข้าเทรด (BOS Entry Point)
จุดเข้าเทรดในกลยุทธ์เบรคโครงสร้าง (BOS) มีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากเป็นตัวกำหนดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนของการเทรด
จุดเข้าเทรดที่พบบ่อยใน BOS คือหลังจากที่ราคาทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้านสำคัญและมีการยืนยันการเบรคโครงสร้างแล้ว
ตัวอย่างเช่น ใน Bullish BOS ราคามักจะทะลุแนวต้านและดึงกลับเล็กน้อยเพื่อทดสอบแนวต้านเดิมที่เปลี่ยนเป็นแนวรับก่อนจะกลับไปสู่แนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง
การทดสอบแนวต้านเดิมนี้ช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของการทะลุแนวทำให้นักเทรดมีความมั่นใจมากขึ้นว่าแนวโน้มจะดำเนินต่อไป
นอกจากการรอการทดสอบแนวรับแนวต้านแล้วการรอให้แท่งเทียนปิดอย่างชัดเจนเหนือแนวต้านในกรณีขาขึ้น (Bullish) หรือใต้แนวรับในกรณีขาลง (Bearish) ยังช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักเทรดมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่างการตั้งค่าจุดเข้า:
-
ในกรณี Bullish BOS รอให้ราคาทะลุเหนือแนวต้าน ยืนยันด้วยการทดสอบอีกครั้งและเข้าสู่การเทรดเมื่อแท่งเทียนขาขึ้นปรากฏหลังการทดสอบ
-
สำหรับ Bearish BOS รอให้ราคาทะลุต่ำกว่าแนวรับ ยืนยันด้วยการทดสอบอีกครั้งและเข้าสู่การเทรดเมื่อแท่งเทียนขาลงปรากฏหลังการดึงกลับ
BOS Stop Loss (จุดหยุดขาดทุน)
การตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) เป็นสิ่งสำคัญในกลยุทธ์ BOS เพื่อป้องกันการกลับตัวที่ไม่คาดคิดและจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น
สำหรับ Bullish BOS เทรดเดอร์มักจะวางจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ต่ำกว่าแนวต้านเดิมเล็กน้อย เพื่อเป็นกันชนในกรณีที่การทะลุแนวต้านล้มเหลวและราคากลับมาต่ำกว่าระดับนั้น
สำหรับ Bearish BOS จุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) มักจะถูกตั้งไว้สูงกว่าแนวรับที่ถูกทำลายเล็กน้อย เพื่อให้การป้องกันในลักษณะเดียวกัน
ตัวอย่างการตั้งค่าจุดหยุดขาดทุน :
-
สำหรับ Bullish BOS วางจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ไว้ต่ำกว่าแนวรับใหม่เพียงไม่กี่จุด (pips หรือเซ็นต์ ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์) เพื่อสร้างความปลอดภัย
-
สำหรับ Bearish BOS วางจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ไว้สูงกว่าแนวต้านใหม่เล็กน้อย
BOS Take Profit (จุดทำกำไร)
การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit) ขึ้นอยู่กับศักยภาพของแนวโน้มใหม่ในหลายกรณีการใช้แนวรับหรือแนวต้านก่อนหน้าเป็นจุดอ้างอิงถือเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะเมื่อพิจารณาระดับสำคัญสำหรับการเทรดโครงสร้างที่เกิดการเบรค
อีกแนวทางหนึ่งคือการตั้งจุดทำกำไรหลายระดับเพื่อทยอยปิดการเทรดในแต่ละช่วง
ตัวอย่างเช่น เทรดเดอร์อาจทำกำไรบางส่วนที่ระดับเป้าหมายแรกจากนั้นปรับจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ไปยังจุดคุ้มทุน (Breakeven) เพื่อให้ตำแหน่งที่เหลือสามารถทำกำไรเพิ่มเติมได้หากแนวโน้มยังคงดำเนินต่อไป
ตัวอย่างการตั้งค่าจุดทำกำไร:
-
สำหรับ Bullish BOS ตั้งเป้าหมายจุดทำกำไรที่จุดสูงสุดก่อนหน้าหรือระดับแนวต้านสำคัญ
-
สำหรับ Bearish BOS ตั้งเป้าหมายจุดทำกำไรที่จุดต่ำสุดก่อนหน้าหรือระดับแนวรับสำคัญ
ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเบรคโครงสร้าง (BOS) คืออะไร?
การเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญช่วงเวลาที่สั้น เช่น กราฟ 5 นาทีหรือ 15 นาที มักนิยมใช้ในการเทรดเบรคโครงสร้างในการเทรดระหว่างวัน
อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่ยาวขึ้น เช่น กราฟรายวันหรือรายสัปดาห์มักมีความน่าเชื่อถือมากกว่าในการระบุแนวโน้มระยะยาว
หุ้นหรือหลักทรัพย์ที่ดีที่สุดสำหรับเบรคโครงสร้าง (BOS) คืออะไร?
BOS สามารถนำไปใช้ได้ในหลายตลาด เช่น ฟอเร็กซ์ หุ้น และ คริปโทเคอร์เรนซี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ BOS ในฟอเร็กซ์ได้รับความนิยมในหมู่นักเทรดเนื่องจากความผันผวนสูงและการเปลี่ยนแปลงของราคาในคู่สกุลเงินที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
สำหรับนักเทรดหุ้น BOS จะมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีสภาพคล่องสูง
ความแตกต่างระหว่างเบรคโครงสร้าง (BOS) และการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในตลาด
นักเทรดบางคนอาจสับสนระหว่างเบรคโครงสร้าง (BOS) กับการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในตลาดการทำความเข้าใจความแตกต่างนี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจในการเทรดได้อย่างชาญฉลาดยิ่งขึ้น
เบรคโครงสร้าง (BOS) vs. การเปลี่ยนลักษณะ (ChoCh)
เบรคโครงสร้าง (BOS) และการเปลี่ยนลักษณะ Change of Character (ChoCh) มักถูกเข้าใจผิดว่าเหมือนกันแต่ทั้งสองมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกันเล็กน้อยในการเทรด
เบรคโครงสร้างเปรียบเสมือนสัญญาณที่ชัดเจนและเด่นชัดโดยเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ ซึ่งบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่แข็งแกร่งและกำลังเกิดขึ้น
ในทางกลับกัน ChoCh มีความละเอียดอ่อนกว่าและไม่ได้มีความถาวรนักโดย ChoCh บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของแนวโน้มปัจจุบัน เช่น การชะลอตัวของแนวโน้มขาขึ้น หรือการเริ่มต้นของการปรับฐานในระยะสั้น
ในขณะที่ BOS ชี้ถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในระยะยาว ChoCh มักแสดงถึงการหยุดพักหรือการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัม ซึ่งช่วยให้นักเทรดสังเกตเห็นการกลับตัวในระยะสั้นโดยไม่ส่งผลต่อแนวโน้มหลักทั้งหมด
เบรคโครงสร้าง (BOS) vs. การเปลี่ยนโครงสร้างตลาด (MSS)
นอกจากนี้นักเทรดเดอร์มักสับสนระหว่างเบรคโครงสร้าง (BOS) และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาด (MSS)
BOS มุ่งเน้นที่การทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่ชัดเจน แต่ MSS มองไปไกลกว่าการทะลุแนวเพียงจุดเดียวโดยพิจารณาถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในภาพรวม
MSS เกี่ยวข้องกับการเบรคโครงสร้างหลายจุด และมักแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในความรู้สึกของตลาดโดยรวม
ในขณะที่ BOS อาจบ่งบอกถึงจุดเข้าเทรด MSS มีจุดประสงค์เพื่อให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในภาพรวมของตลาดซึ่งเหมาะสำหรับการวางแผนกลยุทธ์ระยะยาว
โดยสรุป BOS เป็นสัญญาณเฉพาะจุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มในขณะที่ MSS มอบมุมมองภาพรวมของการเปลี่ยนแปลงทิศทางตลาดในระยะยาว
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการเทรดเบรคโครงสร้าง
เมื่อทำการเทรดโดยอิงจากการเบรคโครงสร้าง (Break of Structure - BOS) มักเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสัญญาณหรือการตัดสินใจที่รวดเร็วเกินไปนี่คือข้อผิดพลาดที่พบบ่อย:
-
เบรคหลอก : การเข้าเทรดทันทีหลังจาก BOS โดยไม่รอการยืนยันและพบว่าราคากลับตัวในภายหลัง
-
ไม่สนใจปริมาณการซื้อขาย : ไม่ตรวจสอบว่าปริมาณการซื้อขายสนับสนุนการทะลุหรือไม่ซึ่งอาจนำไปสู่ BOS ที่เป็นเท็จ
-
พึ่งพาอินดิเคเตอร์มากเกินไป: ใช้ตัวชี้วัด (Indicators) เพียงอย่างเดียวโดยไม่วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาหรือแนวโน้ม
-
ตั้ง Stop Loss ไม่เหมาะสม: วางจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss) ใกล้เกินไป ซึ่งอาจทำให้ต้องออกจากการเทรดโดยไม่จำเป็น
บทสรุป
เบรคโครงสร้าง (Break of Structure - BOS) มีความสำคัญในการช่วยระบุแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงของตลาดแต่สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่าง BOS กับการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในตลาด
การผสมผสาน BOS เข้ากับข้อมูลเชิงลึกอื่น ๆ จะช่วยให้นักเทรดหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและตัดสินใจในการเทรดได้อย่างมีข้อมูลและมั่นใจยิ่งขึ้น
สารบัญ
คำถามที่พบบ่อย
การเปลี่ยนลักษณะ (Change of Character) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมแนวโน้มในระยะสั้นขณะที่เบรคโครงสร้าง BOS (Break of Structure) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้นซึ่งมักบ่งบอกถึงความต่อเนื่องของแนวโน้ม
"การเบรค" หมายถึงการที่ราคาทะลุระดับแนวรับหรือแนวต้านสำคัญซึ่งอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มใหม่
เบรคโครงสร้างตลาดอาจเกิดขึ้นเมื่อหุ้นทะลุระดับสูงสุดล่าสุดอย่างต่อเนื่องซึ่งแสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น
คำนี้หมายถึงการที่ราคาทะลุออกจากโซนแนวรับหรือแนวต้านที่กำหนดไว้ซึ่งบ่งบอกถึงความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง