ตลาด
บัญชี
แพลตฟอร์ม
นักลงทุน
โปรแกรมพันธมิตร
สถาบัน
โปรแกรมความภักดี
เครื่องมือ
เขียนโดย XS Editorial Team
อัปเดตแล้ว 27 มีนาคม 2025
MACD เป็นอินดิเคเตอร์ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเนื่องจากช่วยให้การวิเคราะห์โมเมนตัม และ ทิศทางแนวโน้มในตลาดการเงินเป็นเรื่องง่ายขึ้น โดยการรวมค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เข้าด้วยกัน MACD ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้น ยืนยันแนวโน้ม และกำหนดจังหวะจุดเข้า-จุดออกในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
บทความนี้จะอธิบายเกี่ยวกับ MACD Indicator วิธีการอ่านค่าและวิธีนำไปใช้ในกลยุทธ์การเทรดของคุณ
MACD ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อติดตามโมเมนตั้มและทิศทางแนวโน้มของตลาด
ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นแนวโน้มขาขึ้น (Bullish) หรือขาลง (Bearish) และจุดเข้า-ออกที่เหมาะสม
กลยุทธ์อย่าง Crossover และ Divergence เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการใช้สัญญาณจาก MACD
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
MACD (Moving Average Convergence Divergence) เป็นอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์โมเมนตั้มและแนวโน้มที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
MACD ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อระบุการเปลี่ยนแปลงของความแข็งแกร่ง ทิศทาง โมเมนตั้ม และระยะเวลาของแนวโน้มในตลาด
โครงสร้างหลักของ MACD คือการรวมค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น ได้แก่:
EMA 12-Period (Exponential Moving Average 12)
EMA 26-Period (Exponential Moving Average 26)
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เหล่านี้จะเคลื่อนไหวไปตามการเปลี่ยนแปลงของราคาซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุ สัญญาณซื้อหรือขายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทำไม MACD ถึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย? เพราะมันเป็นอินดิเคเตอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูงสำหรับ มือใหม่ MACD เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการทำความเข้าใจทิศทางของตลาด เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่ใช้งานง่ายและช่วยระบุโอกาสในการเทรดได้อย่างชัดเจน
ส่วนเทรดเดอร์ระดับสูงมักนำ MACD ไปใช้ร่วมกับกลยุทธ์การเทรดที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยใช้เพื่อจับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมหรือยืนยันสัญญาณจากอินดิเคเตอร์อื่น ๆ
MACD มีประสิทธิภาพอย่างมากในการระบุจุดที่โมเมนตั้มกำลังเปลี่ยนแปลงซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม
MACD ถูกคำนวณโดยใช้สามองค์ประกอบหลัก:
ขั้นแรกคำนวณ MACD Line คำนวณโดยนำ EMA 26-Period (Exponential Moving Average) ลบออกจาก EMA 12-Period สูตร MACD Line คือ:
MACD Line = 12-period EMA - 26-period EMA
ถัดไปคำนวณ Signal Line โดยคำนวณ EMA 9-Period ของ MACD Line Signal Line ช่วยให้ MACD มีความราบรื่นขึ้นและช่วยระบุสัญญาณซื้อหรือขายเมื่อเส้นเกิดการตัดกัน
สุดท้ายคำนวณ Histogram โดยนำ Signal Line ลบออกจาก MACD Line สูตร Histogram คือ:
Histogram = MACD Line - Signal Line
Histogram แสดงความแตกต่างระหว่างเส้นทั้งสองในรูปแบบภาพช่วยให้มองเห็นการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตั้มได้ชัดเจน
การอ่านค่า MACD อินดิเคเตอร์ต้องทำความเข้าใจองค์ประกอบสำคัญสามส่วนได้แก่:
เมื่อ MACD Line ตัดขึ้นเหนือ เส้นสัญญาณ → เป็นสัญญาณซื้อ
เมื่อ MACD Line ตัดลงต่ำกว่า เส้นสัญญาณ → เป็นสัญญาณขาย
แท่งบวก (Positive Bars) บ่งชี้โมเมนตั้มขาขึ้น
แท่งลบ (Negative Bars) บ่งชี้โมเมนตั้มขาลง
Bullish Divergence: ราคาทำจุดต่ำสุดใหม่ (Lower Low) แต่ MACD ทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Low) → บ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นที่อาจเกิดขึ้น
Bearish Divergence: ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) แต่ MACD ทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High) → บ่งชี้แนวโน้มขาลงที่อาจเกิดขึ้น
การทำความเข้าใจว่า MACD เปรียบเทียบกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่นๆ ได้อย่างไร ซึ่งจะช่วยให้เทรดเดอร์ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
Exponential Moving Average (EMA) มุ่งเน้นไปที่การปรับค่าเฉลี่ยของราคาตามช่วงเวลาที่กำหนดเพื่อระบุทิศทางแนวโน้มของสินทรัพย์เป็นอินดิเคเตอร์ที่เรียบง่ายและให้ภาพรวมชัดเจนว่าราคากำลังเคลื่อนไหวในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลง
MACD นำแนวคิดของ EMA ไปอีกขั้นโดยใช้ EMA สองเส้น (โดยทั่วไปคือ EMA 12-Period และ EMA 26-Period)
ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้ว MACD ถูกพัฒนาขึ้นจาก EMA เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาด
MACD: เหมาะสำหรับการระบุการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตั้มและทิศทางแนวโน้มผ่านการตัดกันของ EMA สองเส้น
EMA: เหมาะสำหรับการปรับค่าราคาให้เรียบขึ้นเพื่อสังเกตแนวโน้มราคาโดยรวมในช่วงเวลาที่กำหนด
Stochastic Oscillator เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดว่าสินทรัพย์อยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดยเน้นไปที่ราคาปัจจุบันเทียบกับจุดสูงสุดและต่ำสุดล่าสุด
เป้าหมายหลักของ Stochastic Oscillator คือระบุจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นโดยเน้นไปที่ความสุดโต่งของอารมณ์ตลาด
ในขณะที่ MACD ไม่ได้มุ่งเน้นไปที่ระดับ Overbought หรือ Oversold แต่เน้นไปที่โมเมนตัมและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
MACD: เหมาะสำหรับการวิเคราะห์โมเมนตัมและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม
Stochastic Oscillator: เหมาะสำหรับการระบุภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปในตลาด
Relative Strength Index (RSI) เป็นอินดิเคเตอร์ใช้วัดโมเมนตั้มเช่นเดียวกับ MACD แต่เน้นไปที่การประเมินภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือ ขายมากเกินไป (Oversold) ในตลาด
RSI คำนวณโดยการเปรียบเทียบขนาดของกำไรและขาดทุนล่าสุดและให้ค่าระหว่าง 0 ถึง 100
เทรดเดอร์มักใช้ค่านี้เพื่อระบุจุดกลับตัวที่อาจเกิดขึ้นโดยค่ามากกว่า 70 บ่งชี้ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และค่าต่ำกว่า 30 บ่งชี้ภาวะขายมากเกินไป (Oversold)
ในขณะที่ MACD เน้นวิเคราะห์ทั้งโมเมนตั้มและทิศทางแนวโน้มโดยใช้การตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น
MACD: เหมาะสำหรับติดตามโมเมนตั้มและส่งสัญญาณแนวโน้มที่อาจกลับตัว
RSI: เหมาะสำหรับวัดภาวะตลาดสุดโต่ง (Overbought/Oversold) เพื่อช่วยกำหนดจุดเข้าและออกจากตลาด
ดังที่กล่าวไปแล้ว MACD เป็นอินดิเคเตอร์มีความยืดหยุ่นและสามารถนำไปใช้ในกลยุทธ์การเทรดได้นี่คือวิธีบางอย่างที่คุณสามารถนำ MACD มาประยุกต์ใช้ในการเทรด
MACD Histogram เป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตั้มในตลาดเมื่อแท่งเปลี่ยนจากลบเป็นบวกหมายถึงโมเมนตั้มขาขึ้นกำลังแข็งแกร่งขึ้น ซึ่งส่งสัญญาณถึงแนวโน้มขาขึ้นที่อาจเกิดขึ้น
ในทางกลับกันเมื่อแท่งเปลี่ยนจากบวกเป็นลบหมายถึงโมเมนตั้มขาลงซึ่งมักบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลง
เทรดเดอร์อาศัยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในการกำหนดจังหวะการเข้าเทรดอย่างมีประสิทธิภาพ
ในตลาดขาขึ้น MACD เป็นเครื่องมือที่เชื่อถือได้ในการยืนยันแนวโน้มขาขึ้น
เทรดเดอร์มักให้ความสำคัญกับจุดตัดกัน (Crossover) เมื่อ MACD Line ตัดขึ้นเหนือ Signal Line พร้อมกับแท่ง Histogram ที่เป็นบวกซึ่งบ่งบอกถึงโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่งขึ้น
สัญญาณเหล่านี้ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเข้าเทรดหรือถือตำแหน่งซื้อต่อไป
ในตลาดขาลง MACD ช่วยให้เทรดเดอร์ระบุและยืนยันแนวโน้มขาลงได้เมื่อเกิดเส้นตัดกันที่เส้น MACD ตัดลงต่ำกว่าเส้นสัญญาณพร้อมกับแท่ง Histogram ที่เป็นลบจะเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโมเมนตั้มขาลงที่แข็งแกร่งขึ้น
ข้อมูลเชิงลึกนี้ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเปิดสถานะขายหรือปิดสถานะซื้อ
เมื่อนำทุกองค์ประกอบข้างต้นมารวมกันนี่คือตัวอย่างกลยุทธ์การเทรดด้วย MACD
กลยุทธ์ Crossover เป็นหนึ่งในแนวทางที่ง่ายและได้รับความนิยมมากที่สุดในการเทรด
โดยเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่าง MACD Line และ Signal Line เพื่อกำหนดจุดเข้าและออกจากตลาด
นี่คือวิธีใช้กลยุทธ์นี้:
เมื่อ MACD Line ตัดขึ้นเหนือ Signal Line หมายความว่าโมเมนตั้มขาขึ้นกำลังแข็งแกร่งขึ้นและอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังจะเกิดขึ้น
เทรดเดอร์มักมองว่านี่เป็นจังหวะที่ดีในการเปิดสถานะซื้อ (Long Position) เพื่อเพิ่มความมั่นใจควรมองหาการยืนยันเพิ่มเติม เช่น Histogram ของ MACD ที่เพิ่มขึ้น หรือ แนวโน้มราคาที่กำลังเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น
เมื่อ MACD Line ตัดลงต่ำกว่า Signal Line หมายความว่าโมเมนตั้มขาลงกำลังแข็งแกร่งขึ้น และอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
สัญญาณนี้มักถูกใช้เป็นจุดขายหรือเปิดสถานะขาย (Short Position) สำหรับการยืนยันเพิ่มเติมให้ตรวจสอบ Histogram ของ MACD ที่ลดลง หรือ แนวโน้มราคาที่เคลื่อนไหวลง
การเทรดด้วย Divergence มุ่งเน้นไปที่ความแตกต่างระหว่าง MACD Indicator และการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลังสำหรับการระบุแนวโน้มกลับตัว
นี่คือวิธีใช้กลยุทธ์นี้อย่างมีประสิทธิภาพ
Bullish Divergence เกิดขึ้นเมื่อ MACD Line ทำจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น (Higher Lows) ในขณะที่ราคาทำจุดต่ำสุดที่ต่ำลง (Lower Lows) ซึ่งบ่งชี้ว่าโมเมนตั้มขาลงกำลังอ่อนแอลง และอาจเกิดการกลับตัวไปสู่แนวโน้มขาขึ้น
เทรดเดอร์สามารถใช้สัญญาณนี้เพื่อเตรียมเปิดสถานะซื้อ อย่างไรก็ตามเพื่อเพิ่มความมั่นใจควรรอการยืนยันเพิ่มเติม เช่น MACD Line ตัดขึ้นเหนือ Signal Line หรือ ราคาทะลุแนวต้านสำคัญ
Bearish Divergence เกิดขึ้นเมื่อ MACD Line ทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower Highs) ในขณะที่ราคาทำจุดสูงสุดที่สูงขึ้น (Higher Highs)
สัญญาณนี้บ่งชี้ว่าโมเมนตัมขาขึ้นกำลังอ่อนแรงและอาจมีการกลับตัวลงในเร็วๆ นี้ เทรดเดอร์มักมองว่านี่เป็นโอกาสในการเปิดสถานะขาย (Short) หรือขายทำกำไร
ยืนยันสัญญาณโดยสังเกต MACD Line ตัดลงใต้ Signal Line หรือ ราคาทะลุแนวรับสำคัญลงมา
การใช้ MACD อย่างมีประสิทธิภาพหมายถึงการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไปนี่คือข้อผิดพลาดสำคัญที่เทรดเดอร์ควรระวัง:
เพิกเฉยต่อ Divergences: การพลาดสัญญาณ Divergence อาจนำไปสู่การเข้าและออกจากตลาดในเวลาที่ไม่เหมาะสม
พึ่งพา MACD มากเกินไป: การใช้ MACD เพียงอย่างเดียวโดยไม่มีอินดิเคเตอร์อื่นมาช่วยยืนยันอาจทำให้เกิดสัญญาณที่ผิดพลาด
เลือกช่วงเวลาไม่เหมาะสม: การไม่ปรับค่า MACD ให้เหมาะกับการเทรดรายวัน (Day Trading) หรือกลยุทธ์ระยะยาวอาจลดความแม่นยำของสัญญาณ
อ่านค่าผิดจาก Histogram: การใช้ Histogram เป็นสัญญาณซื้อ-ขายโดยตรงแทนที่จะเป็นตัววัดโมเมนตั้มอาจทำให้ตัดสินใจเร็วเกินไป
แม้ว่า MACD จะเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์แต่ก็มีข้อจำกัดที่เทรดเดอร์ควรทราบได้แก่:
สัญญาณล่าช้า : MACD อ้างอิงจากข้อมูลราคาย้อนหลังทำให้สัญญาณอาจเกิดขึ้นช้า
สัญญาณหลอก: ในตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบไซต์เวย์ MACD มักให้สัญญาณที่ไม่น่าเชื่อถือ
ไม่มีข้อมูลภาวะซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไป: MACD ไม่สามารถวัดระดับสุดรุนแรงของตลาดได้เหมือนกับ RSI
ประสิทธิภาพลดลงในแนวโน้มระยะยาว: แนวโน้มที่ยาวนานอาจทำให้สัญญาณของ MACD ไม่สอดคล้องกัน
MACD เป็นดินดิเคเตอร์ที่สำคัญในเชิงวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโมเมนตั้มและแนวโน้มของตลาดการเข้าใจองค์ประกอบของ MACD และใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณตัดสินใจเทรดได้อย่างมีข้อมูลและแม่นยำยิ่งขึ้น
เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย
MACD แสดง โมเมนตัมและทิศทางแนวโน้ม ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์สามารถระบุโอกาสในการซื้อและขายได้
ช่วงเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ Day Traders มักใช้กราฟ 5 นาที หรือ 15 นาที ในขณะที่ Swing Traders มักใช้กราฟรายวันหรือรายสัปดาห์
ค่าเหล่านี้สะท้อนถึงแนวโน้มระยะสั้นและระยะกลางที่พบบ่อยที่สุดในตลาดซึ่งกำหนดโดย Gerald Appel ผู้คิดค้น MACD Indicator
Gerald Appel ได้พัฒนา MACD ขึ้นในช่วงปี 1970s เพื่อนำมาใช้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง