Logo
หน้าหลัก     บทความ     ดัชนีเอสแอนด์พี 500 S&P 500 Index

หุ้น

ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 Index)  คืออะไร?

เขียนโดย Itsariya Doungnet

อัปเดตแล้ว 21 เมษายน 2025

ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 Index)
สารบัญ

    หากคุณกำลังสนใจลงทุนตลาดหุ้นอยู่ล่ะก็ ควรทำความรู้จัก ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 Index) กันไว้เป็นหนึ่งในตัวเลือก เพราะนอกจากที่ ดัชนี S&P 500 จะรวมหุ้นไว้กว่า 80% มูลค่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งหมด ยังมีการรวมเข้าด้วยกันกับอุตสาหกรรมที่หลากหลาย เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ ดัชนี S&P 500 สิ่งที่นักลงทุนจำเป็นต้องรู้ รวมถึงรายชื่อหุ้น 10 อันดับ ที่คุณไม่ควรพลาดปี 2025

    สาระสำคัญ

    • ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 Index) คือ ดัชนีหุ้น ที่ประกอบด้วย 500 บริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ครอบคลุมอุตสาหกรรมหลักๆ มากมาย เช่น เทคโนโลยี, การเงิน, สุขภาพ และอื่นๆ อีกมากมาย

    • การลงทุนใน S&P 500 ช่วยกระจายความเสี่ยง เพราะมีหุ้นจากหลากหลายอุตสาหกรรม ช่วยลดความเสี่ยงการลงทุนในบริษัทเดียว

    • ผลตอบแทนเฉลี่ยของ ดัชนี S&P 500 โดยประมาณ คือ 10% ต่อปี ถือเป็นตัวเลือกยอดนิยมสำหรับการลงทุนระยะยาว

    ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง

    ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ

    เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

    ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 Index) คืออะไร

    ดัชนีเอสแอนด์พี 500 คือ ดัชนีหุ้นสหรัฐ ที่มีหุ้นขนาดใหญ่อยู่กว่า 500 ตัว ที่รวมมาจากบริษัทที่จดทะเบียนใน ตลาดหุ้น  Nasdaq และ ตลาดหุ้น NYSE แต่ละหุ้นจะต้องผ่านเกณฑ์พิจารณาการคัดเลือกบริษัทก่อนที่จะนำเข้ามารวมในดัชนีนี้ เช่น มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด, สภาพคล่องในการซื้อขาย และสัดส่วนการลงทุนรายย่อย นี่จึงทำให้ดัชนี S&P 500 เป็นหนึ่งในดัชนีที่ใช้วัดประสิทธิภาพตลาดหุ้นขออเมริกาได้อย่างแม่นยำ

     

    ประเภทดัชนี S&P 500

    ดัชนี S&P 500 ประกอบด้วยหุ้นจากบริษัทขนาดใหญ่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งมีการกระจายความเสี่ยงไปแต่ละอุตสาหกรรมหลักๆ ที่สำคัญของเศรษฐกิจ มีการแบ่งหุ้นเข้าไปในดัชนี S&P 500 ซึ่งแบ่งออกเป็นทั้งหมด 11 ภาคธุรกิจดังนี้:

    1. ประเภทเทคโนโลยี (Information Technology): อุตสาหรรมนี้ประกอบไปด้วยบริษัท ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น ซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และการบริการไอที ตัวอย่างเช่น Apple, Microsoft และ Nvidia

    2. ประเภทสุขภาพ (Health Care): อุตสาหกรรมสุขภาพรวมถึง บริษัทที่ดำเนินกิจการ ทั้งในด้านการแพทย์และการดูแลสุขภาพ เช่น การผลิตยา, อุปกรณ์ทางการแพทย์, และประกันสุขภาพ ตัวอย่างเช่น Johnson & Johnson และ UnitedHealth Group

    3. ประเภทการเงิน (Financials): อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับการเงินประกอบด้วย ธนาคาร, บริษัทประกัน และบริษัทด้านบริการทางการเงินอื่นๆ เช่น JPMorgan Chase, Bank of America และ Berkshire Hathaway

    4. กลุ่มผู้บริโภคที่ไม่จำเป็น (Consumer Discretionary): อุตสาหกรรมที่ประกอบไปด้วย บริษัทที่จำหน่ายสินค้า หรือ บริการ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น การท่องเที่ยว, ยานยนต์, สินค้าฟุ่มเฟือย ตัวอย่างเช่น Tesla และ Amazon เป็นต้น

    5. กลุ่มผู้บริโภคที่จำเป็น (Consumer Staples): เป็นประเภทกลุ่มบริษัทที่ผลิต หรือจำหน่ายสินค้า ที่คนต้องการใช้อย่างต่อเนื่อง เช่น อาหาร, เครื่องดื่ม, ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ตัวอย่างเช่น Procter & Gamble และ Coca-Cola

    6. อุตสาหกรรมพลังงาน (Energy): บริษัทที่ดำเนินการด้านการผลิต และการจัดจำหน่ายพลังงาน เช่น น้ำมัน, ก๊าซธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ExxonMobil และ Chevron เป็นต้น

    7. อสังหาริมทรัพย์ (Real Estate): เป็นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ประกอบด้วย บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา และการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น Simon Property Group และ Prologis เป็นต้น

    8. อุตสาหกรรม (Industrials): หากพูดถึงกลุ่มภาคอุตสาหกรรม ก็จะรวมไปถึงบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตและการจัดส่งสินค้า และบริการในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การขนส่ง, อุปกรณ์ทางการเกษตร และ การผลิตเครื่องจักร ตัวอย่างเช่น Boeing และ Caterpillar เป็นต้น

    9. การสื่อสาร (Communication Services): ประกอบไปด้วยบริษัทที่ให้บริการ การสื่อสาร และสื่อสารมวลชน เช่น การออกอากาศ, สื่อออนไลน์ และการสื่อสารผ่านโทรคมนาคม ตัวอย่างเช่น Alphabet (Google) และ Meta (Facebook) เป็นต้น

    10. สินค้าวัสดุ (Materials): กลุ่มวัสดุรวมถึงบริษัทที่ผลิตสินค้า ทางเคมี, โลหะ และวัสดุที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น Dow Inc., DuPont

    11. อุตสากรรมสาธารณูปโภค (Utilities): เป็นกลุ่มบริษัทที่ให้บริการสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้า, น้ำประปา, ก๊าซ ตัวอย่างเช่น NextEra Energy และ Duke Energy เป็นต้น

     

    สิ่งที่นักลงทุน ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 Index) ต้องรู้

    ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 Index) เป็นภาพสะท้อนให้เห็นภาพรวมของตลาดหุ้นและเศรฐกิจตลาดสหรัฐฯ ได้เป็นอย่างดี การพิจารณาความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจที่สามารถสะท้อนผ่านการเคลื่อนไหวดัชนีได้แม่นยำ ซึ่งดัชนี S&P 500 รวมบริษัทที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจในหลากหลายอุตสาหกรรมไว้ด้วยกัน เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยี, กลุ่มการบริการทางการเงิน, อุตสาหกรรมการบริโภค, อุตสาหกรรมสุขภาพ และ อุตสาหกรรมพลังงาน เป็นต้น

     

    1. ดัชนีที่บ่งบอกถึงเศรษฐกิจสหรัฐฯ

    ดัชนี S&P 500 ครอบคลุม 80% ของมูลค่าตลาดหุ้นในสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้ดัชนีนี้ เป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นภาพรวมการเคลื่อนไหวของดัชนี สามารถสะท้อนถึงแนวโน้ม และ การเติบโตของเศรษฐกิจประเทศได้

     

    2. เป็นการลงทุนที่กระจายความเสี่ยง (Diversification)

    เนื่องจากดัชนี S&P 500 มีหุ้นจากหลากหลายอุตสาหกรรม การลงทุนในดัชนีนี้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องพึ่งพาผลลัพธ์การดำเนินงาน จากบริษัทใดบริษัทหนึ่ง

     

    3. ดัชนีที่เป็นเกณฑ์การวัดประสิทธิภาพ

    ดัชนี S&P 500 มักถูกใช้เป็นเกณฑ์วัดประสิทธิภาพการลงทุนของนักลงทุนและกองทุน ซึ่งนักลงทุนจะเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุนกับดัชนีนี้ เพื่อประเมินผลตอบแทน

     

    4. เน้นผลตอบแทนในระยะยาว

    ดัชนี S&P 500 มีผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวที่ดี ซึ่งนักลงทุนสามารถได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 10% ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นนี้ เป็นตัวเลือกที่นิยมสำหรับการลงทุนระยะยาว

     

    5. มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนทั่วโลก

    ประเทศสหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจทรงอิทธิพลสูงที่สุดในโลก การเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 มีผลต่อความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนทั่วโลก อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินในประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

     

    วิธีการทำงานของดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 Index)

    วิธีการทำงานของดัชนีตัวนี้ เริ่มต้นจากการคำนวณ ดัชนี S&P 500 จากราคาหุ้นของบริษัทใหญ่ ทั้งหมดจำนวน 500 แห่ง ที่ได้รับการคัดเลือกมาอย่างรอบคอบจากหลากหลายอุตสาหกรรม การคำนวณดัชนีจะใช้วิธี "การถ่วงน้ำหนักจากมูลค่าหลักทรัพย์ " ซึ่งหมายความว่า บริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์สูง ก็จะมีผลกระทบต่อตัวดัชนีมากกว่า บริษัทที่มีขนาดเล็ก

     

    ขั้นตอนที่ 1: การเลือกบริษัท

    บริษัทที่อยู่ในดัชนี S&P 500 จะต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น มูลค่าหลักทรัพย์ จะต้องไม่น้อยกว่า 14.6 พันล้านดอลลาร์ และบริษัทต้อง จำเป็นต้องมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หลักในประเทศสหรัฐฯ เช่น NYSE, NASDAQ หรือ Cboe เป็นต้น

     

    ขั้นตอนที่ 2: การถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าหลักทรัพย์

    หลังจากที่บริษัทถูกคัดเลือกเข้ามาในกลุ่มดัชนี มูลค่าหลักทรัพย์ (Market Cap) ของแต่ละบริษัทก็จะถูกนำมาคำนวณ ซึ่งบริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์สูง อย่าง Apple และ Microsoft ก็จะมีอิทธิพลมากกว่าบริษัทขนาดเล็กในกลุ่มดัชนี

     

    ขั้นตอนที่ 3: การปรับเปลี่ยน

    ดัชนี S&P 500 จะมีการปรับปรุงทุกปี บริษัทที่ไม่สามารถรักษามูลค่าหลักทรัพย์ หรือประสิทธิภาพทางการเงินที่ดี ก็อาจจะถูกแทนที่ด้วยบริษัทใหม่ที่มีการเติบโตที่ดีกว่า

     

    ขั้นตอนที่ 4: แนวโน้มตลาดหุ้น

    การเคลื่อนไหวของดัชนี S&P 500 จะสะท้อนถึงแนวโน้มของตลาดหุ้นภาพรวม ถ้าดัชนีเพิ่มขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นกำลังเติบโต ในทางกลับกัน หากดัชนีลดลง ก็อาจเป็นสัญญาณว่า ตลาดกำลังเผชิญกับปัญหาหรือความไม่แน่นอน

     

    รายชื่อหุ้น 10 อันดับที่คุณห้ามพลาดในดัชนี S&P 500 ปี 2025

    อันดับ

    บริษัท

    สัญลักษณ์

    หมวดหมู่

    เกี่ยวกับอุตสาหกรรม

    ประมาณสัดส่วนในดัชนี (%)

    1

    Apple

    AAPL

    เทคโนโลยี

    Apple ก็ยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอยู่ เพราะผลิตภัณฑ์ที่มีความนิยมและมีนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ส่งผลให้ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องในระยะยาว

    7.3%

    2

    Microsoft

    MSFT

    เทคโนโลยี

    Microsoft เป็นอีกตลาดเทคโนโลยี ที่ครองตลาดคอมพิวเตอร์และบริการคลาวด์ มีการเติบโตอย่างรวดเร็วจากการขยายตลาดผลิตภัณฑ์ และ ซอฟต์แวร์อื่นๆ

    6.7%

    3

    Nvidia

    NVDA

    เทคโนโลยี

    Nvidia เป็นผู้นำตลาดกราฟิกและการประมวลผลด้วย AI  มีการพัฒนาเทคโนโลยีที่สำคัญและเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้อีกมากมาย

    3.2%

    4

    Tesla

    TSLA

    พลังงาน/ยานยนต์

    Tesla เป็นผู้นำตลาดยานยนต์ไฟฟ้า ยังมีนวัตกรรมระบบพลังงานสะอาด สามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต

    2.5%

    5

    Johnson & Johnson

    JNJ

    สุขภาพ

    Johnson & Johnson เป็นบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมสุขภาพที่มีความหลากหลาย ตั้งแต่ยารักษาโรคจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพ

    2.3%

    6

    Alphabet (Google)

    GOOGL

    เทคโนโลยี

    Alphabet มีความแข็งแกร่งจากกลุ่มธุรกิจโฆษณาออนไลน์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น YouTube, Google Cloud และ AI สามารถขยายฐานลูกค้าและมีโอกาสเติบโตอนาคต

    4.2%

    7

    Berkshire Hathaway

    BRK.B

    การเงิน

    Berkshire Hathaway ของ Warren Buffett เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุน มีประวัติการเติบโตในระยะยาว

    1.5%

    8

    Visa

    V

    การเงิน

    Visa เป็นผู้นำตลาดการชำระเงินดิจิทัล มีการเติบโตจากการใช้บริการที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก และมีการขยายตัวในตลาดต่างประเทศ

    2.1%

    9

    Procter & Gamble

    PG

    บริโภค

    Procter & Gamble เป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคที่มีการเติบโตมั่นคงและกระจายสินค้าไปทั่วโลก

    1.7%

    10

    UnitedHealth Group

    UNH

    สุขภาพ

    UnitedHealth Group มีการเติบโตจากธุรกิจสุขภาพและประกันสุขภาพ และสร้างโอการเติบโตในตลาดบริการสุขภาพปัจจุบัน

    1.9%

     

    ความแตกต่างระหว่าง ETF ที่ติดตาม S&P 500 และ ดัชนี S&P 500

    นักลงทุนมือใหม่หลายคนก็อาจจะเคยได้ยิน ETF กันมาบ้างแล้ว ซึ่งความแตกต่างระหว่าง ETF ที่ติดตาม S&P 500 และ ดัชนี S&P 500 ก็มีการทำงานที่แตกต่างกัน คุณควรทำความเข้าใจกันก่อนที่จะเข้าลงทุน เพื่อจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรามาอ่านต่อเลย

     

    การซื้อขาย:

    • ดัชนี S&P 500: ไม่สามารถซื้อดัชนีได้โดยตรง เป็นเพียงเครื่องมือทางสถิติ

    • ETF S&P 500: สามารถซื้อขาย ETF ได้ เช่นเดียวกันกับการเทรดหุ้นทั่วไป

     

    การกระจายความเสี่ยง:

    • ดัชนี S&P 500: บ่งชี้การเคลื่อนไหวภาพรวมตลาด

    • ETF S&P 500: เป็นการกระจายความเสี่ยง ไม่ต้องเลือกหุ้นเอง

     

    ค่าธรรมเนียม:

    • ดัชนี S&P 500: ไม่มีค่าธรรมเนียม

    • ETF S&P 500: มักจะมีค่าธรรมเนียม

     

    ผลตอบแทน:

    • ดัชนี S&P 500: แสดงผลการดำเนินงานของตลาด แสดงข้อมูลทางสถิติ

    • ETF S&P 500: มีผลการดำเนินงานที่สะท้อนผลลัพธ์ดัชนี S&P 500 มีการจ่ายปันผล

     

    สรุป

    ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 Index) คือ ดัชนีหุ้น ที่รวมบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ  500 แห่งจากหลากหลายอุตสาหกรรม นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนหุ้นได้ทีละตัวตามต้องการ เพื่อกระจายความเสี่ยง สามารถตรวจสอบ รายชื่อหุ้น 10 อันดับ ที่คุณห้ามพลาด ปี 2025 ที่ทางเราได้อัพเดตมาให้กับคุณ ทั้งนี้แล้วก็ควรตรวจสอบความผันผวนของตลาด และ ผลตอบแทนจากการลงทุน กันก่อน หากคุณกำลังวางแผนการลงทุนระยะยาว ก็ควรทำความเข้าใจกับ การบริหารความเสี่ยง ด้วยเช่นกัน

    พร้อมสำหรับก้าวต่อไปในการซื้อขายหรือยัง?

    เปิดบัญชีและเริ่มต้นเลย

    รับสิทธิ์เข้าถึงฟรี
    สารบัญ

      คำถามที่พบบ่อย

      ผลตอบแทนเฉลี่ยของดัชนี S&P 500 อยู่ที่ประมาณ 10% ต่อปี ของการลงทุนระยะยาว ตั้งแต่ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดแต่ละปี

      กองทุน S&P 500 ที่เราแนะนำ ได้แก่ SPDR S&P 500 ETF (SPY), Vanguard S&P 500 ETF (VOO) และ iShares Core S&P 500 ETF (IVV) จากการวิเคราะห์ดัชนีหุ้น ปี 2567

      ดัชนีเอสแอนด์พี 500 (S&P 500 Index) ชื่อเต็มคือ Standard & Poor’s 500 Index

      ดัชนี SET 500 คือ ดัชนีที่รวม 500 หุ้นจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเอาไว้

      SCB S&P 500 ETF จะจ่ายปันผลประมาณ 1.5% - 2% ต่อปี ขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงานดัชนีในแต่ละปี

      Itsariya Doungnet

      Itsariya Doungnet

      SEO Content Writer

      อิสสริยา ดวงเนตร เป็นนักเขียนคอนเท้นต์ SEO ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เชี่ยวชาญด้านการให้ความรู้ เรื่องตลาดเทรด และ การลงทุน เน้นสไตล์การเขียนที่อ่านง่าย เข้าใจง่าย และเนื้อหาความรู้จัดเต็ม พร้อมกับการผสมผสานเทคนิค SEO ที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาบทความได้ง่าย อย่าลืมติดตามกันนะคะ

      เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง

      scroll top