ฟอเร็กซ์
ตลาดหมีคืออะไร? สัญญาณ ช่วงเวลา และเคล็ดลับการลงทุน
เขียนโดย XS Editorial Team
อัปเดตแล้ว 30 มกราคม 2025
สารบัญ
ตลาดหมี (Bear Market) หมายถึงภาวะที่ราคาหุ้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งมักทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เกิดความรู้สึกสิ้นหวังและมุมมองเชิงลบเกี่ยวกับตลาด
ในบทความนี้เราจะอธิบายลักษณะเด่นของตลาดหมี ตั้งแต่สัญญาณบ่งชี้ ช่วงเวลาสำคัญ, ไปจนถึงสาเหตุที่ทำให้ตลาดเข้าสู่ขาลง นอกจากนี้คุณจะได้เรียนรู้วิธีการระบุตลาดหมีอย่างถูกต้องความแตกต่างระหว่างตลาดหมีและตลาดกระทิง (Bull Market) และกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณลงทุนได้อย่างมั่นใจในช่วงตลาดที่ท้าทาย
สาระสำคัญ
-
ตลาดหมี (Bear Market) คืออะไร? ตลาดหมีคือช่วงเวลาที่ราคาหุ้นลดลงอย่างต่อเนื่องในระยะเวลายาวนาน โดยปกติจะถูกกำหนดให้เป็นการลดลงมากกว่า 20% ซึ่งมักเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เป็นลบและความไม่มั่นใจของนักลงทุน
-
ความท้าทายและโอกาสในตลาดหมีแม้ว่าตลาดหมีจะสร้างความท้าทายแต่ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนระยะยาวซื้อสินทรัพย์คุณภาพสูงในราคาที่ถูกลง ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนในอนาคตได้
-
รูปแบบกราฟขาลงที่ช่วยคาดการณ์ตลาดหมีรูปแบบกราฟขาลง เช่น Evening Star Double Tops และ Descending Triangles เป็นเครื่องมือที่ช่วยนักลงทุนคาดการณ์การลดลงของราคาเพิ่มเติมในช่วงตลาดหมี
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตลาดหมีคืออะไร?
ตลาดหมี (Bear Market) หมายถึงช่วงเวลาหนึ่งในตลาดการเงินที่ราคาหลักทรัพย์ เช่น หุ้น ลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุดและยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงเป็นเวลานาน
การลดลงนี้มักสะท้อนถึงความรู้สึกกังวลและความกลัวอย่างแพร่หลายในหมู่นักลงทุน ซึ่งมักเกิดจากความท้าทายทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ระดับโลก หรือสภาวะตลาดที่อ่อนแอ
ตลาดหมีมักมาพร้อมกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงกำ ไรของบริษัทที่ต่ำลง และในบางกรณีการเพิ่มขึ้นของอัตราการว่างงาน
คำว่า "ตลาดหมี" ได้รับแรงบันดาลใจจากลักษณะการโจมตีของหมีที่ใช้กรงเล็บฟาดลงจากบนลงล่าง ซึ่งเปรียบเสมือนการเคลื่อนตัวลงของราคาหุ้นในตลาด
ลักษณะเด่นของตลาดหมี (Bear Market)
ตลาดหมี (Bear Market) มีลักษณะเด่นหลายประการที่แตกต่างจากความผันผวนของตลาดในภาวะปกติการเข้าใจลักษณะเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุและรับมือกับช่วงเวลาเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
-
การลดลงของราคาที่สำคัญ: ลักษณะสำคัญของตลาดหมีคือการลดลงของราคาสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยปกติจะลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด ซึ่งส่งผลกระทบต่อหุ้น พันธบัตรหรือหลักทรัพย์อื่น ๆ
-
ความรู้สึกในแง่ลบแพร่หลาย: ในช่วงตลาดหมี นักลงทุนมีมุมมองในเชิงลบ โดยได้รับแรงกระตุ้นจากความกลัวที่จะขาดทุนเพิ่มเติมความรู้สึกนี้มักนำไปสู่การขายสินทรัพย์จำนวนมากและเร่งให้ราคาลดลง
-
เศรษฐกิจอ่อนแอ: ตลาดหมีมักเกิดขึ้นพร้อมกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เช่น การใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลง กำไร ของบริษัทที่ต่ำลง และอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น
-
ปริมาณการซื้อขายต่ำ: นักลงทุนมักเลือกที่จะระมัดระวังในช่วงตลาดหมี ซึ่งนำไปสู่การลดลงของกิจกรรมการซื้อขายเพราะหลายคนเลือกถือเงินสดแทนที่จะเสี่ยงกับการขาดทุนเพิ่มเติม
-
ความผันผวนที่เพิ่มขึ้น: ตลาดหมีมักมาพร้อมกับความผันผวนของราคาที่รุนแรงและคาดเดาได้ยากทำให้การประเมินว่าตลาดจะกลับมามีเสถียรภาพเมื่อใดเป็นเรื่องที่ท้าทาย
-
มุ่งเน้นไปที่การลงทุนเชิงป้องกัน: ในช่วงตลาดหมีนักลงทุนจำนวนมากมักเปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตร ทองคำ หรือหุ้นที่จ่ายเงินปันผลเพื่อรักษาเงินทุนของตน
ช่วงต่าง ๆ ของตลาดหมี (Bear Market)
ตลาดหมีมักเกิดขึ้นเป็นลำดับขั้นโดยแต่ละช่วงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของนักลงทุนและแนวโน้มของตลาดที่แตกต่างกันออกไป
ช่วงที่ 1: การกระจายสินทรัพย์ (Distribution)
ช่วงแรกของตลาดหมีเริ่มต้นอย่างแผ่วเบา นักลงทุนรายใหญ่ เช่น สถาบันการเงินและบุคคลภายในที่มีข้อมูลเริ่มทยอยขายสินทรัพย์เพื่อเก็บกำไรทำให้ราคาค่อย ๆ ลดลง
ในช่วงนี้นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองในด้านบวกและไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลาดยังดูมีเสถียรภาพแต่เริ่มมีสัญญาณอ่อนแอ เช่น ความกระตือรือร้นในการซื้อขายลดลงและราคาปรับตัวลดลงเล็กน้อย
ช่วงที่ 2: การมีส่วนร่วมของสาธารณะ (Public Participation)
ในช่วงที่สองสาธารณชนเริ่มสังเกตเห็นแนวโน้มขาลงของตลาด ข่าวร้าย เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจที่ย่ำแย่หรือผลประกอบการของบริษัทที่น่าผิดหวังยิ่งกระตุ้นความกลัวและความไม่แน่นอน
เมื่อมีผู้คนขายสินทรัพย์เพิ่มขึ้นราคาก็ลดลงอย่างรวดเร็วขึ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนเปลี่ยนจากมุมมองในด้านบวกเป็นความกังวล กิจกรรมการซื้อขายเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อความตื่นตระหนกเริ่มแพร่กระจาย ช่วงนี้มักเป็นช่วงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดและสร้างความเร่งรีบในหมู่ผู้เข้าร่วมตลาด
ช่วงที่ 3: ความตื่นตระหนก (Panic)
ช่วงสุดท้ายของตลาดหมีมีลักษณะเด่นคือความตื่นตระหนกอย่างแพร่หลาย นักลงทุนแห่กันขายสินทรัพย์ของตนแม้ในราคาที่ขาดทุนหนักเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุนเพิ่มเติม
ราคาลดลงอย่างรุนแรงและรวดเร็วแตะระดับต่ำสุดใหม่เมื่อความสิ้นหวังเข้าครอบงำความเชื่อมั่นในตลาดอยู่ในระดับต่ำสุดและการซื้อขายมีความผันผวนสูงมากช่วงนี้มักจะเป็นช่วงที่เข้มข้นที่สุดแต่ก็มักเป็นสัญญาณว่าตลาดใกล้จะสิ้นสุดการลดลงและอาจเริ่มเข้าสู่ภาวะทรงตัวในไม่ช้า
ตลาดกระทิง vs. ตลาดหมี
อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วตลาดหมี (Bear Market) คือช่วงเวลาที่ราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปกติลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด
ในทางตรงกันข้ามตลาดกระทิง (Bull Market) หมายถึงช่วงเวลาที่ราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงิน เช่น หุ้น ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาวตลาดกระทิงเกิดจากปัจจัยสนับสนุนทางเศรษฐกิจ เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง อัตราการว่างงานต่ำ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่สูง
ในช่วงตลาดกระทิงนักลงทุนมักมองโลกในแง่ดีและเชื่อว่าราคาจะยังคงปรับตัวขึ้นต่อไปความเชื่อมั่นนี้มักส่งผลให้เกิดการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นและความรู้สึกถึงความมั่งคั่งทางการเงินที่กระจายไปทั่วตลาด
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างตลาดกระทิงและตลาดหมี
แนวโน้มราคา:
-
ตลาดกระทิง: ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
-
ตลาดหมี: ราคาลดลงอย่างรุนแรงโดยปกติจะลดลงมากกว่า 20%
ความรู้สึกของนักลงทุน:
-
ตลาดกระทิง: มุมมองในด้านบวกและความมั่นใจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการซื้อขาย
-
ตลาดหมี: ความสิ้นหวังและความกลัวครอบงำส่งผลให้เกิดการขายสินทรัพย์อย่างแพร่หลาย
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ:
-
ตลาดกระทิง: สะท้อนถึงการเติบโตของ GDP ที่แข็งแกร่ง อัตราการว่างงานต่ำ และผลกำไรของบริษัทสูง
-
ตลาดหมี: มักเกิดขึ้นพร้อมกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น และผลกำไรที่ลดลง
ความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับ:
- ตลาดกระทิง: นักลงทุนกล้าเสี่ยงมากขึ้นโดยมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่มีการเติบโตสูงและผลตอบแทนสูง
- ตลาดหมี: นักลงทุนระมัดระวังมากขึ้นมักเปลี่ยนไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า เช่น พันธบัตรหรือเงินสด
ระยะเวลา:
- ตลาดกระทิง: สามารถคงอยู่ได้ยาวนานหลายเดือนหรือหลายปี
- ตลาดหมี: มักมีระยะเวลาสั้นกว่าแต่ความรุนแรงและความผันผวนจะมากกว่า
วิธีการระบุตลาดหมี (Bear Market)
การระบุตลาดหมีเกี่ยวข้องกับการสังเกตสัญญาณและแนวโน้มเฉพาะในตลาดการเงินและเศรษฐกิจ ดังนี้:
-
การลดลงของราคาที่สำคัญ: ราคาหุ้น ดัชนี หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ลดลงต่อเนื่องมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุด
-
ความรู้สึกเชิงลบในตลาด: ความกลัวและความสิ้นหวังแพร่หลายในหมู่นักลงทุน ซึ่งมักสะท้อนจากการขายสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น
-
เศรษฐกิจอ่อนแอ: ตัวชี้วัด เช่น GDP ที่ลดลง อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ลดลงมักเกิดขึ้นพร้อมกับตลาดหมี
-
กำไรของบริษัทลดลง: บริษัทต่าง ๆ รายงานผลกำไรที่ลดลงซึ่งทำให้นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่นและราคาสินทรัพย์ลดลงอีก
-
ความผันผวนสูง: ตลาดเผชิญกับการแกว่งตัวของราคาที่รุนแรงและคาดเดาได้ยากโดยแนวโน้มขาลงเป็นตัวกำหนดทิศทางหลัก
-
ปริมาณการซื้อขายลดลง: การลดลงอย่างเห็นได้ชัดของกิจกรรมการซื้อขายเนื่องจากนักลงทุนลังเลที่จะเข้าซื้อในตลาด
อะไรเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดตลาดหมี?
ตลาดหมีมักเกิดจากการรวมตัวของปัจจัยต่าง ๆ ที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนำไปสู่การลดลงของราคาสินทรัพย์ในระยะยาว
ปัจจัยที่พบได้บ่อยคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจ เช่น GDP ที่ลดลงหรืออัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญ เช่น สงครามหรือความขัดแย้งทางการค้า อัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งกดดันค่าครองชีพและลดการใช้จ่ายของผู้บริโภครวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นและนโยบายการเงินที่เข้มงวด เช่น การลดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ตลาดเข้าสู่ภาวะขาลงและสูญเสียความมั่นคงในระยะยาว
กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหมี (Bear Market)
การลงทุนในตลาดหมีต้องอาศัยความระมัดระวังและการมุ่งเน้นที่การรักษาเงินทุนพร้อมมองหาโอกาสในการเติบโต ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ:
-
เน้นหุ้นเชิงป้องกัน: ลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มักทำผลงานได้ดีในช่วงเศรษฐกิจถดถอย เช่น กลุ่มสุขภาพ สาธารณูปโภค และสินค้าอุปโภคบริโภคพื้นฐาน
-
กระจายพอร์ตการลงทุน: ลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น พันธบัตร ทองคำ และเงินสดเพื่อลดความเสี่ยง
-
ลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผล: บริษัทที่จ่ายเงินปันผลสามารถสร้างกระแสรายได้ที่มั่นคงแม้ว่าราคาหุ้นจะลดลง
-
ใช้กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging: ลงทุนเป็นจำนวนเงินที่คงที่ในช่วงเวลาที่สม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาดและเฉลี่ยต้นทุนการลงทุนในระยะยาว
-
มองหาโอกาสในหุ้นที่มีมูลค่าต่ำ: เลือกบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งแต่มีราคาต่ำลงเนื่องจากภาวะตลาดขาลง
-
รักษามุมมองระยะยาว: หลีกเลี่ยงการขายเพราะความตื่นตระหนกและมุ่งเน้นเป้าหมายทางการเงินระยะยาวโดยเข้าใจว่าตลาดหมีเป็นสถานการณ์ชั่วคราว
รูปแบบกราฟขาลงที่ควรจับตา
ต่อไปนี้คือรูปแบบกราฟขาลงที่สำคัญที่ควรสังเกต:
Double Top
กราฟ double top แสดงถึงยอดสองจุดที่ระดับราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งบ่งบอกถึงแนวต้านและความเป็นไปได้ที่ราคาจะปรับตัวลดลงในอนาคต
Descending Triangle
รูปแบบกราฟ descending triangle แสดงถึงเส้นแนวรับที่เป็นเส้นตรงและเส้นแนวต้านที่ลาดลงซึ่งบ่งบอกถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่ราคาจะลดลงต่อไป
Bearish Flag
รูปแบบ bearish flag มีลักษณะเป็นการพักตัวของราคาที่ปรับขึ้นเล็กน้อยในระยะสั้น (ตัวธง) หลังจากราคาลดลงอย่างรุนแรง (เสาธง) ซึ่งมักบ่งบอกถึงความต่อเนื่องของแนวโน้มขาลง
Evening Star
รูปแบบ evening star ประกอบด้วยกราฟแท่งเทียนสามแท่งโดยแท่งแรกเป็นแท่งขาขึ้นขนาดใหญ่ตามด้วยแท่งเล็กที่มีตัวเทียนขนาดเล็กและปิดท้ายด้วยแท่งขาลงขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการ กลับตัวของแนวโน้มจากขาขึ้นเป็นขาลง
ประโยชน์และความเสี่ยงของการลงทุนในช่วงตลาดหมี
ประโยชน์
-
ซื้อในราคาที่ต่ำลง: หุ้นคุณภาพจำนวนมากมักมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงในช่วงตลาดหมี ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกกว่า
-
อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงขึ้น: ราคาหุ้นที่ลดลงมักทำให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเพิ่มขึ้น สร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่นักลงทุน
-
โอกาสเติบโตในระยะยาว: การลงทุนในช่วงขาลงช่วยให้นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรเมื่อตลาดกลับมาฟื้นตัว
-
คัดกรองบริษัทที่อ่อนแอ: ตลาดหมีมักเผยให้เห็นบริษัทที่บริหารจัดการไม่ดีช่วยให้นักลงทุนสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีความยืดหยุ่น
ความเสี่ยง
-
ราคาที่อาจลดลงต่อเนื่อง: ราคาสินทรัพย์อาจลดลงต่อไปหลังจากการลงทุนซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนในระยะสั้น
-
ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ: ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหรือวิกฤตเศรษฐกิจมักมาพร้อมกับตลาดหมีซึ่งเพิ่มความผันผวนและความไม่แน่นอน
-
สภาพคล่องลดลง: การขายสินทรัพย์ในช่วงตลาดขาลงอาจทำได้ยากขึ้นและอาจต้องยอมรับการขาดทุนมาก
-
การตัดสินใจที่ใช้อารมณ์: ความกลัวและความไม่แน่นอนสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดการไตร่ตรองและส่งผลกระทบต่อเป้าหมายในระยะยาว
บทสรุป
ตลาดหมีอาจเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายแต่ก็เปิดโอกาสให้กับนักลงทุนที่มีความอดทนและวางกลยุทธ์อย่างชาญฉลาด การเข้าใจช่วงต่าง ๆ ของตลาด การระบุรูปแบบสำคัญและการนำกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมมาใช้สามารถช่วยให้คุณผ่านพ้นช่วงขาลงได้อย่างมั่นคงแม้ความเสี่ยงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้แต่การติดตามข้อมูลและมุ่งเน้นเป้าหมายระยะยาวสามารถสร้างความแตกต่างได้ในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน
ติดตาม XS เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกด้านการเทรดเพิ่มเติม!
สารบัญ
คำถามที่พบบ่อย
ขึ้นอยู่กับมุมมอง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่เนื่องจากราคาที่ลดลง แต่ก็เป็นโอกาสที่ดีในการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่าต่ำสำหรับการเติบโตในระยะยาว
ตลาดหมีคือช่วงเวลาที่ราคาหุ้นลดลงอย่างมาก โดยปกติลดลงมากกว่า 20% ในระยะเวลานาน ซึ่งทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่เกิดความกังวล
ตลาดหมีโดยทั่วไปกินเวลาตั้งแต่ไม่กี่เดือนจนถึงสองสามปีโดยเฉลี่ยประมาณ 10–14 เดือน
ไม่เหมือนกันแต่ทั้งสองมักเกิดขึ้นพร้อมกันตลาดหมีหมายถึงการลดลงของราคาหุ้นขณะที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยหมายถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ เช่น GDP ที่ลดลงและอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้น
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง