ฟอเร็กซ์
4 ประเภทคำสั่งซื้อขาย: Market Order Limit Order Stop Order
เขียนโดย XS Editorial Team
อัปเดตแล้ว 1 พฤศจิกายน 2024
สารบัญ
คำสั่งซื้อขายเป็นคำสั่งที่คุณให้กับโบรกเกอร์เพื่อซื้อหรือขายในนามของคุณ อย่างไรก็ตามมีประเภทคำสั่งซื้อขายหลายประเภทแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์เฉพาะ ประโยชน์ และความเสี่ยงที่แตกต่างกัน
บทความนี้จะสำรวจ 4 ประเภทคำสั่งซื้อขายมาดูกันว่าคำสั่งต่างๆคืออะไร วิธีการใช้งาน และใช้เมื่อใดในแต่ละประเภทถึงจะเหมาะสมที่สุด
สาระสำคัญ
-
คำสั่งซื้อขายคือคำสั่งที่ให้กับโบรกเกอร์ในการซื้อหรือขายภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
-
Market orders ให้ความสำคัญกับความรวดเร็ว ในขณะที่ limit orders เน้นการควบคุมราคา
-
Stop และ stop-limit orders ช่วยจัดการความเสี่ยงโดยการกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายเมื่อราคาถึงจุดที่กำหนด
-
ประเภทคำสั่งขั้นสูงเสนอวิธีการที่ปรับแต่งเพื่อให้เหมาะกับความต้องการในการเทรดที่หลากหลาย
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายคำสั่งซื้อขายคืออะไร?
คำสั่งซื้อขายคือคำสั่งที่คุณให้กับโบรกเกอร์เพื่อซื้อหรือขายภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดหน้าที่ของโบรกเกอร์คือการดำเนินการตามประเภทคำสั่งและพารามิเตอร์ที่คุณตั้งไว้
ขึ้นอยู่กับประเภทคำสั่งซึ่งมันอาจถูกดำเนินการทันทีที่ราคาที่กำหนดหรือภายใต้เงื่อนไขของตลาดที่เฉพาะเจาะจงเท่านั้น
วิธีการวางคำสั่งซื้อขาย
เพื่อดำเนินการซื้อขายคุณต้องรู้วิธีการวางคำสั่งซื้อขายอย่างถูกต้อง
ต่อไปนี้คือขั้นตอนง่าย ๆ:
-
เลือกโบรกเกอร์: เลือกโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มการซื้อขายออนไลน์ที่เหมาะกับความต้องการของคุณและมีประเภทคำสั่งซื้อขายที่หลากหลาย
-
ตัดสินใจเกี่ยวกับประเภทคำสั่ง: กำหนดว่าประเภทคำสั่งซื้อขายใดเหมาะสมกับเป้าหมายการเทรดของคุณ ไม่ว่าจะเป็น market order limit order หรือประเภทอื่น ๆ
-
ป้อนรายละเอียดคำสั่ง: กรอกรหัสสัญลักษณ์ จำนวน ประเภทคำสั่ง และรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ข้อจำกัดด้านราคาหรือวันหมดอายุ
-
ตรวจสอบและยืนยัน: ตรวจสอบรายละเอียดคำสั่งของคุณอย่างรอบคอบเพื่อให้แน่ใจว่าถูกต้องก่อนส่งคำสั่ง
จับตาดูตลาดและตรวจสอบสถานะของคำสั่งเพื่อให้มั่นใจว่าได้มีการดำเนินการตามที่ตั้งใจไว้
ประเภทของคำสั่งซื้อขาย
มีคำสั่งซื้อขายหลายประเภทที่คุณสามารถใช้เพื่อซื้อหรือขายโดยแต่ละประเภทออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการในการเทรดที่แตกต่างกัน:
-
Market Orders: ใช้เพื่อซื้อหรือขายในทันทีที่ราคาที่ดีที่สุดในขณะนั้น
-
Limit Orders: อนุญาตให้คุณกำหนดราคาที่ต้องการซื้อหรือขาย
-
Stop Orders: กระตุ้นการซื้อหรือขายเมื่อถึงราคาถึงจุดที่กำหนด
-
คำสั่งซื้อขายขั้นสูง: คำสั่งที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น Good Till Canceled (GTC), Immediate-or-Cancel (IOC), และ Fill-or-Kill (FOK)
มาสำรวจประเภทคำสั่งซื้อขายต่างๆในแต่ละประเภทในโดยรายละเอียดกัน
Market Order คืออะไรและใช้งานอย่างไร?
Market order เป็นประเภทคำสั่งซื้อขายที่ง่ายที่สุดที่คุณสามารถวางสั่งซื้อได้
เมื่อคุณออก market order คุณกำลังสั่งให้โบรกเกอร์ซื้อหรือขายทันทีในราคาที่ดีที่สุดที่มีอยู่
ต่างจากประเภทคำสั่งอื่น ๆ market order ไม่ได้กำหนดราคาที่แน่นอน แต่มันเพียงแค่รับประกันว่าการซื้อขายจะเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดโดยไม่คำนึงถึงราคาที่แน่นอนในขณะนั้น
นี่คือเหตุผลที่ market order เป็นที่ชื่นชอบของนักเทรดเดอร์ต่างให้ความสำคัญกับความเร็วมากกว่าความแม่นยำด้านราคา
วิธีการใช้ Market Order
ในการวางคำสั่งซื้อ market order เพียงแค่ระบุราคาที่คุณต้องการซื้อหรือขายและจำนวนที่ต้องการซื้อ
โบรกเกอร์จะดำเนินการคำสั่งที่ราคาตลาดปัจจุบัน ซึ่งเป็นราคาที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในขณะนั้นหากมีผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดเพียงพอคำสั่งจะถูกดำเนินการเกือบจะในทันที
อย่างไรก็ตามราคาที่คำสั่งถูกดำเนินการอาจแตกต่างจากราคาที่คุณเห็นบนหน้าจอ โดยเฉพาะในตลาดที่เคลื่อนไหวเร็ว
ตัวอย่างของ Market Order
สมมติว่าคุณต้องการซื้อหุ้นของบริษัท XYZ จำนวน 100 หุ้น ราคาซื้อขายล่าสุดของหุ้นอยู่ที่ $10 และคุณตัดสินใจวางคำสั่ง market order
โบรกเกอร์ของคุณรับคำสั่งและดำเนินการซื้อขายทันที หากมีผู้ขายเพียงพอคำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการใกล้กับราคา $10 มากที่สุด
อย่างไรก็ตามหากมีความต้องการซื้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาอาจสูงขึ้นก่อนที่คำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการและคุณอาจต้องจ่าย $10.10, $10.20 หรือมากกว่านั้น
ในทางกลับกันหากตลาดตกอย่างรวดเร็วคุณอาจจ่ายน้อยกว่า $10
ประโยชน์และความเสี่ยงของคำสั่งซื้อขายต่างๆ
เช่นเดียวกับคำสั่งซื้อขายต่างๆในประเภทอื่นๆ คำสั่งในตลาดมีทั้งประโยชน์และความเสี่ยง
ประโยชน์ของคำสั่ง Market Order
-
ดำเนินการในทันที: ช่วยให้การซื้อขายเสร็จสิ้นเกือบจะในทันทีที่ราคาดีที่สุดที่สามารถหาได้
-
ใช้งานง่าย: การใช้งานง่ายต่อการเข้าใจและดำเนินการเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น
-
ความแน่นอนในการดำเนินการ: มีโอกาสสูงที่จะดำเนินการคำสั่งจนเสร็จสิ้น
ความเสี่ยงของคำสั่ง Market Order
-
ความไม่แน่นอนของราคา: ราคาสุดท้ายอาจแตกต่างจากที่คาดหวังเนื่องจากความผันผวนของตลาด
-
การเคลื่อนของราคา: ราคาที่ดำเนินการอาจแย่กว่าราคาที่มีการอ้างอิงล่าสุดในตลาดที่ผันผวน
-
ผลกระทบต่อตลาด: คำสั่งซื้อจำนวนมากอาจส่งผลกระทบต่อราคาทำให้การดำเนินการได้ราคาที่ไม่ดีนัก
คำสั่ง Limit Order คืออะไรและจะใช้อย่างไร?
คำสั่งลิมิตออเดอร์ (Limit Order) คือคำสั่งซื้อหรือขายโดยราคาที่กำหนดไว้หรือดีกว่าซึ่งแตกต่างจากคำสั่งใน market order โดย Limit Order ช่วยให้คุณสามารถควบคุมราคาที่จะซื้อขายได้อย่างแม่นยำ
อย่างไรก็ตามไม่มีการรับประกันว่าคำสั่งจะถูกดำเนินการเพราะคำสั่งจะดำเนินการก็ต่อเมื่อถึงราคาที่คุณกำหนด
คำสั่ง Limit orders เหมาะสำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับราคามากและยินดีที่จะรอให้ตลาดเป็นไปตามเงื่อนไขที่ต้องการ
วิธีการใช้คำสั่ง Limit Order
ในการวางคำสั่ง limit order คุณต้องระบุสิ่งที่ต้องการซื้อขาย จำนวน และราคาที่ต้องการ
ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการซื้อหุ้นคุณสามารถกำหนดราคาสูงสุดที่คุณยินดีจะจ่ายในทางกลับกันหากคุณต้องการขายคุณสามารถกำหนดราคาขั้นต่ำที่คุณยินดีรับได้
คำสั่งของคุณจะถูกดำเนินการก็ต่อเมื่อหุ้นถึงราคาที่คุณกำหนดหรือดีกว่า
ตัวอย่างคำสั่ง Limit Order
สมมติว่าคุณสนใจซื้อหุ้น 100 หุ้นของบริษัท XYZ แต่คุณคิดว่าราคาตลาดปัจจุบันที่ $55 สูงเกินไป
คุณจึงตั้งคำสั่งซื้อตาม limit order ที่ $50 ซึ่งหมายความว่าคุณจะยินดีซื้อหุ้นนี้เฉพาะเมื่อราคาลดลงถึง $50 หรือน้อยกว่านั้น
โบรกเกอร์ของคุณจะรอจนกว่าราคาหุ้นจะลดลงถึง $50 หรือต่ำกว่านั้นเพื่อดำเนินการคำสั่งหากราคาหุ้นไม่ถึง $50 คำสั่งจะไม่ถูกดำเนินการ
ประโยชน์และความเสี่ยงของ Limit Order
แม้ว่าคำสั่ง Limit Order จะดูเหมือนมีประโยชน์มากแต่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน
ประโยชน์ของ Limit Order
-
การควบคุมราคา: คุณสามารถกำหนดราคาสูงสุดหรือราคาต่ำสุดในการซื้อหรือขาย
-
ป้องกันการจ่ายเกิน: ช่วยป้องกันการซื้อในราคาที่สูงเกินไปหรือขายในราคาที่ต่ำเกินไปในตลาดที่มีความผันผวน
-
ยืดหยุ่น: เหมาะกับกลยุทธ์ที่หลากหลายรวมถึงจุดเข้าหรือจุดออกตลาดในจุดราคาที่เฉพาะเจาะจง
ความเสี่ยงของ Limit Order
-
ความไม่แน่นอนในการดำเนินการ: ไม่มีการรับประกันว่าคำสั่งจะถูกดำเนินการหากราคาตลาดไม่เคยถึงจุดที่กำหนด
-
การดำเนินการบางส่วน: คำสั่งอาจถูกดำเนินการเพียงบางส่วนหากไม่มีหุ้นเพียงพอในราคาที่กำหนด
-
ความไวต่อเวลา: คำสั่งจำกัดอาจหมดอายุหากไม่ได้ดำเนินการภายในกรอบเวลาที่กำหนด (เช่น คำสั่งจะหมดอายุภายในวันนั้นๆ)
คำสั่ง Stop Order คืออะไรและจะใช้ได้อย่างไร?
คำสั่ง Stop Order คือคำสั่งซื้อขายประเภทหนึ่งที่จะเปิดใช้งานเมื่อถึงราคาที่กำหนดไว้ ซึ่งเรียกว่า stop price
คำสั่งนี้มักใช้เพื่อจัดการความเสี่ยงโดยจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นหรือการรักษากำไร
เมื่อถึงราคาที่กำหนดคำสั่ง stop order จะกลายเป็นคำสั่ง market order ทันทีหมายความว่าจะถูกดำเนินการในราคาที่ดีที่สุดที่หาได้ในขณะนั้น
มีคำสั่ง Stop Order หลากหลายประเภทซึ่งจะอธิบายรายละเอียดดังนี้
1. คำสั่ง Sell Stop Order
คำสั่ง sell-stop จะถูกวางต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบันและจะมีผลเมื่อราคาหุ้นร่วงลงหรือใต้ stop price
คำสั่งนี้มักใช้เพื่อลดการขาดทุนในสถานะซื้อหุ้น (Long Position)
ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อหุ้นที่ราคา $50 และต้องการจำกัดการขาดทุนที่ $5 ต่อหุ้น คุณอาจตั้งคำสั่งขายหยุดที่ $45
หากราคาหุ้นตกลงถึง $45 หรือต่ำกว่า คำสั่งขายหยุดจะกลายเป็น market order และจะดำเนินการในราคาที่หาได้ในขณะนั้นช่วยป้องกันการขาดทุนเพิ่มเติม
ประโยชน์ของคำสั่ง Sell Stop Order
-
จำกัดความเสี่ยงขาลง: ขายหุ้นโดยอัตโนมัติหากราคาลดลงถึงระดับที่กำหนดช่วยป้องกันการขาดทุนที่มากขึ้น
-
ไม่จำเป็นต้องเฝ้าติดตามตลอดเวลา: ช่วยให้คุณกำหนดกลยุทธ์การออกล่วงหน้าไม่ต้องเฝ้าดูตลาดตลอดเวลา
-
ช่วยปกป้องกำไร: สามารถใช้เพื่อรักษากำไรโดยตั้งราคาหยุดไว้สูงกว่าราคาซื้อเมื่อหุ้นเคลื่อนไหวในทิศทางที่คุณต้องการ
ความเสี่ยงของคำสั่ง Sell Stop Order
-
ราคาเคลื่อน: ในตลาดที่ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว ราคาที่ดำเนินการอาจต่ำกว่าราคาหยุดอย่างมาก
-
สภาพตลาดไม่เอื้ออำนวย: การลดลงของราคาชั่วคราวอาจทำให้คำสั่งถูกดำเนินการ ทำให้คุณขายขาดทุนแม้ว่าราคาหุ้นจะฟื้นตัวในภายหลัง
-
ไม่มีการควบคุมราคาดำเนินการ: เมื่อถึงราคาที่กำหนดคำสั่งจะกลายเป็น market order และดำเนินการในราคาที่หาได้ในขณะนั้น ซึ่งอาจไม่เป็นที่พอใจ
2. คำสั่ง Buy Stop Order
คำสั่ง Buy Stop Order จะถูกวางไว้สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบันและจะมีผลเมื่อราคาสูงขึ้นถึงหรือเกินราคาหยุด คำสั่งนี้มักใช้เพื่อใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาขาขึ้นหรือจำกัดการขาดทุนในสถานะขายชอร์ต (Short Position)
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นปัจจุบันมีราคา $30 และคุณต้องการซื้อเมื่อแสดงความแข็งแกร่งโดยไปถึงราคา $35 คุณสามารถตั้งคำสั่งซื้อหยุดที่ $35 หากราคาหุ้นขึ้นถึง $35 หรือสูงกว่า คำสั่งจะเริ่มทำงานและคุณจะซื้อหุ้นในราคาที่หาได้ในขณะนั้น
ประโยชน์ของคำสั่ง Buy Stop Order
-
จับโมเมนตัมตลาด: ช่วยให้คุณซื้อหุ้นเมื่อมีแนวโน้มขาขึ้น เพิ่มโอกาสในการทำกำไรจากตลาดที่กำลังเติบโต
-
ควบคุมความเสี่ยงในสถานะขายชอร์ต: ช่วยจำกัดการขาดทุนในสถานะขายชอร์ต โดยตั้งให้ซื้อหากราคาหุ้นเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
-
เครื่องมือกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น: สามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การฝ่าแนวต้าน (Breakout) โดยเน้นการเข้าสถานะทันทีที่หุ้นทะลุแนวต้าน
ความเสี่ยงของคำสั่ง Buy Stop Order
-
ความผันผวนของราคา: ในตลาดที่ผันผวน ราคาที่ดำเนินการอาจสูงกว่าราคาหยุดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงราคาอย่างรวดเร็ว
-
แนวทะลุหลอก: การเพิ่มขึ้นของราคาชั่วคราวอาจทำให้คำสั่งถูกดำเนินการทำให้คุณซื้อในราคาที่สูงก่อนที่หุ้นจะลดลง
-
ขาดการควบคุมราคา: เมื่อคำสั่งถูกเรียกใช้งาน คำสั่งจะกลายเป็นคำmarket order ซึ่งอาจทำให้ราคาที่ดำเนินการไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
3. คำสั่ง Stop Limit Order
คำสั่ง limit order เป็นการผสมผสานระหว่างคำสั่ง stop order และคำสั่ง limit order โดยให้คุณมีการควบคุมราคาที่มากขึ้น
เมื่อถึงคำสั่งถึงจุดที่กำหนดคำสั่งจะเปลี่ยนเป็น limit order แทน market order
ซึ่งหมายความว่าคำสั่งจะถูกดำเนินการเฉพาะที่ limit price ที่คุณตั้งไว้หรือดีกว่าเท่านั้น ช่วยป้องกันไม่ให้ราคาลื่นไหลแต่ก็มีความเสี่ยงที่คำสั่งอาจจะไม่ถูกดำเนินการ
ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งคำสั่ง stop-limit โดยมี stop price ที่ $50 และ limit price ที่ $48 เมื่อราคาหุ้นถึง $50 คำสั่งจะถูกเรียกใช้งาน
อย่างไรก็ตามคำสั่งจะถูกดำเนินการเฉพาะเมื่อราคายังคงอยู่ที่ $48 หรือต่ำกว่า สิ่งนี้ช่วยให้คุณสามารถกำหนดทั้ง stop price เพื่อป้องกันการขาดทุนและ limit price เพื่อไม่ให้ขายในราคาที่ไม่พึงประสงค์
ประโยชน์ของคำสั่ง Stop Limit Order
-
การควบคุมราคา: ให้การควบคุมราคาที่จะดำเนินการได้มากกว่า stop order ทั่วไป
-
ป้องกันราคาเคลื่อน: ช่วยให้มั่นใจได้ว่าคุณจะไม่ซื้อหรือขายในราคาที่ห่างไกลจากราคาที่คุณตั้งใจไว้เนื่องจากการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างรวดเร็ว
-
ผสมผสานเครื่องมือจัดการความเสี่ยง: ให้ประโยชน์ทั้งจาก stop orders และ limit orders ทำให้สามารถใช้กลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างยืดหยุ่น
ความเสี่ยงของ Stop Limit Order
-
ไม่มีการรับประกันการดำเนินการ: คำสั่งอาจไม่ถูกดำเนินการหากราคาตลาดเคลื่อนผ่าน limit price อย่างรวดเร็ว
-
การดำเนินการบางส่วน: คล้ายกับ limit order ทั่วไป stop limit อาจถูกดำเนินการเพียงบางส่วนหากจำนวนหุ้นที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอ
-
พลาดโอกาส: ในตลาดที่เคลื่อนไหวเร็วคำสั่งของคุณอาจไม่ถูกดำเนินการเลยทำให้พลาดโอกาสในการเคลื่อนไหวของราคาที่ดี
4. คำสั่งการเลื่อนจุดหยุดขาดทุน
คำสั่งการเลื่อนจุดหยุดขาดทุน คือการตั้ง stop price ที่เปอร์เซ็นต์คงที่หรือตามจำนวนเงินที่กำหนดไว้ต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งจะปรับอัตโนมัติเมื่อราคาหุ้นเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์กับคุณ
แตกต่างจาก stop order ปกติที่คงที่คำสั่งการเลื่อนจุดหยุดขาดทุน จะ "เลื่อนตาม" ราคาหุ้นเมื่อมันปรับตัวสูงขึ้นช่วยล็อกกำไรไว้ในขณะที่ยังเปิดโอกาสให้ราคาขึ้นต่อได้
ตัวอย่างเช่นหากคุณตั้งคำสั่งการเลื่อนจุดหยุดขาดทุนที่ 5% สำหรับหุ้นที่ซื้อขายอยู่ที่ราคา $100 stop price จะถูกตั้งไว้ที่ $95 ในตอนแรก
หากราคาหุ้นขึ้นไปที่ $110 stop price จะปรับอัตโนมัติเป็น $104.50 (5% ต่ำกว่าราคาสูงสุดใหม่)
ถ้าราคาหุ้นเริ่มตกลงและถึง $104.50 คำสั่งจะถูกกระตุ้นและกลายเป็นคำสั่ง Market Order เพื่อขาย
ประโยชน์ของคำสั่งการเลื่อนจุดหยุดขาดทุน
-
ปกป้องกำไร: ปรับอัตโนมัติเพื่อล็อกกำไรเมื่อราคาหุ้นเคลื่อนไหวในทิศทางที่เป็นประโยชน์โดยไม่ต้องคอยติดตามตลอดเวลา
-
กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น: เหมาะสำหรับตลาดที่มีความผันผวนเมื่อคุณต้องการปกป้องจากความเสี่ยงที่ราคาลดลงแต่ยังคงสามารถเข้าร่วมในแนวโน้มขาขึ้น
-
ลดการตัดสินใจทางอารมณ์: ช่วยป้องกันการตัดสินใจที่เกิดจากอารมณ์โดยการตั้งจุดออกอัตโนมัติตามการเคลื่อนไหวของราคา
ความเสี่ยงของคำสั่งการเลื่อนจุดหยุดขาดทุน
-
ความไม่แน่นอนของการดำเนินการ: คำสั่งอาจถูกกระตุ้นในช่วงที่ราคาตกลงชั่วคราวซึ่งอาจทำให้ขายที่ราคาต่ำกว่าที่ตั้งใจไว้
-
ช่องว่างของราคา: ในตลาดที่เคลื่อนไหวรวดเร็วราคาหุ้นอาจเคลื่อนผ่าน stop price ซึ่งส่งผลให้ราคาขายแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้
-
การพึ่งพาระบบอัตโนมัติมากเกินไป: แม้ว่าการใช้ระบบอัตโนมัติจะช่วยลดการซื้อขายที่เกิดจากอารมณ์แต่ก็อาจทำให้พลาดโอกาสหรือเกิดการดำเนินการที่ไม่เป็นที่ต้องการหากตั้งค่าไม่ดี
ประเภทคำสั่งซื้อขายขั้นสูง
นอกจากคำสั่งซื้อขายพื้นฐานอย่าง market limit และ stop orders ยังมีคำสั่งซื้อขายขั้นสูงที่ให้การควบคุมกลยุทธ์การซื้อขายมากขึ้น:
-
คำสั่ง Batch Order: รวมคำสั่งหลายรายการเข้าเป็นชุดเดียวเพื่อดำเนินการในเวลาที่กำหนดมักใช้โดยนักลงทุนสถาบันเพื่อลดผลกระทบต่อราคาตลาด
-
คำสั่ง GTC (Good Till Canceled Order): คำสั่งที่ยังคงมีผลจนกว่าจะถูกดำเนินการหรือยกเลิกโดยผู้ซื้อขายไม่ว่าจะใช้เวลานานแค่ไหน
-
คำสั่ง IOC (Immediate-or-Cancel Order): คำสั่งที่ต้องดำเนินการทันทีเท่าที่ทำได้ส่วนที่ไม่สามารถดำเนินการได้จะถูกยกเลิก
-
คำสั่ง AON (All-or-None Order): คำสั่งที่ดำเนินการได้เฉพาะเมื่อสามารถซื้อขายทั้งหมดในราคาที่กำหนดได้หากไม่สามารถทำได้คำสั่งจะไม่ถูกดำเนินการเลย
-
คำสั่ง FOK (Fill-or-Kill Order): คำสั่งที่ต้องดำเนินการทั้งหมดทันทีหากไม่สามารถทำได้คำสั่งจะถูกยกเลิกทั้งหมด
ตารางสรุป: การเปรียบเทียบประเภทคำสั่งซื้อขาย
เพื่อช่วยให้คุณเปรียบเทียบประเภทคำสั่งซื้อขายต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วนี่คือตารางที่สรุปคุณสมบัติประโยชน์ และความเสี่ยงของแต่ละประเภทคำสั่งซื้อ
ประเภทคำสั่งซื้อขาย |
คำอธิบาย |
ประโยชน์ |
ความเสี่ยง |
คำสั่งซื้อขาย Market Order |
ดำเนินการทันทีตามราคาที่ดีที่สุดในตลาด |
- การดำเนินการทันที - ใช้งานง่าย - ความแม่นยำสูงในการดำเนินการ |
- ความไม่แน่นอนของราคา - การคลาดเคลื่อนของราคา (Slippage) - ผลกระทบต่อตลาด |
คำสั่งซื้อขาย Limit Order |
กำหนดราคาที่จะซื้อหรือขาย |
- ควบคุมราคาได้ - ป้องกันการจ่ายเงินเกิน - ความยืดหยุ่น |
- ความไม่แน่นอนในการดำเนินการ - อาจไม่ได้ราคาและจำนวนทั้งหมดที่ต้องการ - อ่อนไหวต่อเวลา |
คำสั่งซื้อขาย Stop Order
|
มีผลเมื่อราคาถึงจุดที่กำหนด |
- จำกัดความเสี่ยงในการขาดทุน - ปกป้องกำไร - ไม่ต้องเฝ้าติดตามตลาดตลอดเวลา |
- การคลาดเคลื่อนของราคา - การขาดการควบคุมการดำเนินการ - สภาพตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย |
คำสั่งซื้อขาย Stop Limit Order |
กลายเป็นคำสั่งที่กำหนดราคาเมื่อราคาหยุดถูกกระตุ้น |
- ควบคุมราคาได้ - ป้องกันการคลาดเคลื่อน - ผสมผสานเครื่องมือการจัดการความเสี่ยง |
- ไม่มีการรับประกันว่าจะดำเนินการได้ - อาจไม่ได้ราคาและจำนวนทั้งหมดที่ต้องการ - พลาดโอกาสในการซื้อขาย |
คำสั่งซื้อขายการเลื่อนจุดหยุดขาดทุน (Trailing Stop Order) |
สามารถตั้งราคาที่ปรับตามการเคลื่อนไหวของราคาตลาดได้โดยอัตโนมัติ |
- ปกป้องกำไร - กลยุทธ์ที่ยืดหยุ่น - ป้องกันการซื้อขายด้วยอารมณ์ |
- ความไม่แน่นอนในการดำเนินการ - ช่องว่างของราคา - พึ่งพาระบบอัตโนมัติมากเกินไป |
คำสั่งซื้อขายขั้นสูง (Advanced Orders) |
มีคำสั่งที่ซับซ้อนและมีเงื่อนไขมากมาย (เช่น GTC, FOK) |
- กลยุทธ์ที่ปรับแต่งได้ - ลดผลกระทบต่อตลาด - เพิ่มการควบคุมการดำเนินการ |
- ความซับซ้อน - ความเป็นไปได้ในการพลาดโอกาสหรือยกเลิก |
บทสรุป
การทำความเข้าใจประเภทคำสั่งซื้อขายต่าง ๆ เป็นสิ่งสำคัญในการนำทางตลาดหุ้นอย่างมีประสิทธิภาพ
ไม่ว่าคุณต้องการดำเนินการซื้อขายทันที ในราคาที่กำหนดหรือภายใต้เงื่อนไขต่างแต่ก็มีประเภทคำสั่งที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของคุณ
หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้สำหรับการดำเนินการซื้อขายเข้าร่วมกับ XS เรามอบประสบการณ์การซื้อขายที่ราบรื่นพร้อมเงื่อนไขพิเศษสำหรับคุณ
สารบัญ
คำถามที่พบบ่อย
คำสั่งซื้อขายหลัก 4 ประเภทในตลาดหุ้น ได้แก่ คำสั่งซื้อขาย Market Orders คำสั่งซื้อขาย Limit Orders คำสั่ง Stop Orders และคำสั่งซื้อขั้นสูง เช่น GTC หรือ Fill-or-Kill
คำสั่งซื้อขาย market order จะดำเนินการทันทีในราคาตลาดปัจจุบัน ขณะที่คำสั่งซื้อขาย limit order จะดำเนินการเฉพาะในราคาที่คุณระบุหรือดีกว่าเท่านั้น
นักเทรดเดอร์วางคำสั่งซื้อขายเพื่อซื้อหรือขายหุ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากโอกาสในตลาดและจัดการความเสี่ยงหรือดำเนินกลยุทธ์การลงทุนที่เฉพาะเจาะจง
ไม่ใช่ คำสั่งซื้อขาย batch order จะรวมการซื้อขายหลายรายการเข้าด้วยกันเพื่อดำเนินการในเวลาที่กำหนด ในขณะที่คำสั่งซื้อขายแบบ market order จะดำเนินการทันทีตามราคาที่ดีที่สุดในตลาด
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง