ฟอเร็กซ์
การเทรดแบบสวิง: วิธีการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในทุกตลาด
เขียนโดย XS Editorial Team
อัปเดตแล้ว 6 ธันวาคม 2024
สารบัญ
สวิงเทรดเป็นกลยุทธ์การเทรดระยะสั้นที่ได้รับความนิยมโดยเทรดเดอร์มุ่งหวังที่จะทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาภายในระยะเวลาไม่กี่วันถึงหลายสัปดาห์ กลยุทธ์นี้ช่วยให้คุณสามารถใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของตลาดในหลายๆ สถานการณ์
มาดูกันว่าการสวิงเทรดทำงานอย่างไรกลยุทธ์ที่แตกต่างกันรวมถึงข้อดีและข้อเสียของมัน
สาระสำคัญ
-
การเทรดแบบสวิงเน้นจับการเคลื่อนไหวของราคาระยะสั้นถึงระยะกลางเพื่อทำกำไร
-
ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาจุดเข้าซื้อและจุดขายที่เหมาะสม
-
แตกต่างจากการเทรดรายวันการเทรดแบบสวิงสามารถถือครองตำแหน่งได้นานหลายวันหรือหลายสัปดาห์
-
การเทรดแบบสวิงสามารถปรับใช้ได้ในสภาวะตลาดต่างๆ ทั้งตลาดขาลงและตลาดขาขึ้น
ทอลองใช้บัญชีเดโม่โดยไม่มีความเสี่ยง
ลงทะเบียนบัญชีเดโม่ฟรีและปรับกลยุทธ์การเทรดของคุณ
เปิดบัญชีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายการเทรดแบบสวิงคืออะไร?
การเทรดแบบสวิงเป็นการเทรดระยะสั้นประเภทหนึ่งที่ผู้เทรดมุ่งเน้นทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาหรือ “สวิง” ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาไม่กี่วันถึงสองสามสัปดาห์
เป้าหมายคือการจับส่วนกลางของแนวโน้มราคาไม่ใช่จุดเริ่มต้นหรือตอนสิ้นสุด
ในการเทรดแบบสวิงสามารถเทรดเครื่องมือทางการเงินได้หลากหลายประเภทแต่เป็นที่นิยมโดยเฉพาะในการเทรดหุ้น
ผู้เทรดใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคศึกษารูปแบบราคาหุ้นและตัวชี้วัดโมเมนตัมเพื่อหาจังหวะที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อหรือออกจากการเทรด
การเทรดรายวัน (Day Trading) vs การเทรดแบบสวิง (Swing Trading)
การเทรดรายวันเกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ ภายในวันเดียวกันโดยอาจใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีถึงหลายชั่วโมงในการทำธุรกรรม
การเทรดแบบสวิงมุ่งเน้นการจับการเคลื่อนไหวของราคาในระยะยาว โดยการถือครองตำแหน่งเป็นเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์
ด้านล่างนี้คือข้อแตกต่างระหว่างสองวิธี:
-
กรอบเวลา: ผู้เทรดรายวันปิดตำแหน่งทั้งหมดในตอนสิ้นวันขณะที่ผู้เทรดแบบสวิงจะถือครองตำแหน่งได้นานกว่า
-
การติดตามตลาด: การเทรดรายวันต้องการการติดตามตลอดทั้งวันในขณะที่การเทรดแบบสวิงมีความยืดหยุ่นมากกว่า
-
โอกาสในการทำกำไร: ทั้งสองแบบมีโอกาสทำกำไรแต่การเทรดแบบสวิงเหมาะกับการจับแนวโน้มในระยะกลาง
-
ความเสี่ยง: ทั้งสองรูปแบบมีความเสี่ยงแต่การเทรดแบบสวิงอาจเครียดน้อยกว่าเนื่องจากจำนวนธุรกรรมน้อยลงและมีเวลาตัดสินใจมากขึ้น
การเทรดแบบสวิง (Swing Trading) vs การถือโพซิชั่นระยะยาว (Position Trading)
อีกหนึ่งกลยุทธ์คือการถือโพซิชั่นระยะยาว (Position Trading) ซึ่งต่างจากการเทรดแบบสวิงที่เน้นการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยการเทรดตามเทรนระยะยาวใช้แนวทางที่ยาวนานกว่า
ผู้เทรดระยะยาวมักจะถือสินทรัพย์เป็นเวลาหลายเดือนถึงหลายปีเพื่อทำกำไรจากแนวโน้มใหญ่ที่มีความมั่นคงและต่อเนื่อง
-
ระยะเวลาการถือครอง: การเทรดแบบสวิงเน้นระยะเวลาการถือครองที่สั้นกว่าการเทรดระยะยาว
-
ความเสี่ยงที่ยอมรับได้: ผู้เทรดระยะยาวมักยอมรับความผันผวนของตลาดได้มากกว่าในขณะที่ผู้เทรดแบบสวิงมีการตอบสนองที่รวดเร็วกว่า
-
กลยุทธ์: ผู้เทรดระยะยาวพึ่งพาการวิเคราะห์พื้นฐานระยะยาวมากกว่าส่วนผู้เทรดแบบสวิงเน้นการใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิค
การเทรดแบบสวิง (Swing Trading) vs. การลงทุนระยะยาว (Long-term Position Trading)
การลงทุนระยะยาว มักเกี่ยวข้องกับการถือครองหุ้นเป็นเวลาหลายปีโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว
ขณะที่ การเทรดแบบสวิงเน้นการจับการเคลื่อนไหวของราคาที่สั้นกว่า เพื่อทำกำไรจากความผันผวนของตลาด
นักลงทุนระยะยาวมุ่งเน้นการสะสมความมั่งคั่งในระยะยาวส่วนผู้เทรดแบบสวิงมองหากำไรที่เร็วกว่าและบ่อยกว่านอกจากนี้การเทรดแบบสวิงต้องการการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องและการติดตามตลาดขณะที่การลงทุนระยะยาวเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนแบบปล่อยให้เติบโตโดยไม่ต้องติดตามบ่อย
หุ้นที่เหมาะสำหรับการเทรดแบบสวิง
เมื่อคุณเข้าใจการเทรดแบบสวิง (Swing Trading) และความแตกต่างจากกลยุทธ์อื่นๆ แล้ว คุณอาจต้องการลองใช้งาน อย่างไรก็ตามไม่ใช่หุ้นทุกตัวที่เหมาะสมสำหรับการเทรดแบบสวิง
เพื่อให้การเทรดแบบสวิงมีประสิทธิภาพคุณจำเป็นต้องเลือกหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนและมีรูปแบบที่น่าเชื่อถือ
-
หุ้นขนาดใหญ่: มักมีเสถียรภาพและคาดการณ์ได้ง่ายกว่า
-
หุ้นที่มีความผันผวนสูง: หุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาสูงในแต่ละวันหรือสัปดาห์มีโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น
-
กลุ่มอุตสาหกรรมที่กำลังเป็นเทรนด์: หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่มสุขภาพซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมมักจะมีโอกาสในการเทรดแบบสวิงมากกว่า
โดยทั่วไปหุ้นที่เหมาะสำหรับการเทรดแบบสวิงมักจะอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีหรือการเงินซึ่งมีสภาพคล่องและความผันผวนเพียงพอที่จะสร้างโอกาสในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา
ตลาดที่เหมาะสำหรับการเทรดแบบสวิง
สิ่งสำคัญถัดไปที่ต้องพิจารณาก่อนการเทรดแบบสวิงคือตลาดการเข้าใจสภาวะตลาดที่คุณกำลังทำการเทรดเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
อย่างที่ทราบกันดีว่าตลาดหุ้นไม่ได้เคลื่อนไหวในรูปแบบเดียวกันเสมอไปบางครั้งขึ้นบางครั้งลงและบางครั้งก็คงที่
การรู้วิธีสังเกตและตอบสนองต่อช่วงต่างๆ ของตลาดจะช่วยให้คุณสามารถปรับกลยุทธ์การเทรดแบบสวิงให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในทุกสภาวะ
การเทรดแบบสวิงในตลาดหมี
เริ่มต้นด้วยการพูดถึงสภาวะตลาดเมื่ออยู่ในช่วงที่ไม่ค่อยสดใสเท่าไหร่นัก: ตลาดหมีคือตลาดที่ราคามีแนวโน้มลดลงโดยทั่วไปและบอกตามตรงว่ามันอาจดูน่ากลัวได้เหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงมีข่าวดีอยู่: การเทรดแบบสวิงสามารถทำได้ในตลาดหมีโดยแทนที่จะเน้นการซื้อราคาต่ำและขายราคาสูงแต่คุณสามารถใช้แรงกดดันขาลงของตลาดให้เป็นประโยชน์ได้
นักเทรดแบบสวิงหลายคนในตลาดหมีหันมาใช้การขายชอร์ต (short-selling) ซึ่งหมายถึงการคาดการณ์ว่าราคาหุ้นจะลดลงและเมื่อราคาลดลงจริง ๆ คุณก็จะได้กำไรอีกทางเลือกหนึ่งคือการมองหาหุ้นที่ถูกขายเกินไปในระยะสั้น
แม้จะเป็นตลาดหมีแต่ก็มีหุ้นบางตัวที่ได้รับผลกระทบหนักเกินไปเมื่อคุณพบหุ้นที่มีโอกาสจะฟื้นตัวได้คุณก็สามารถเทรดแบบสวิงได้เมื่อมันเริ่มกลับตัว
การเทรดแบบสวิงในตลาดกระทิง
สภาวะตลาดถัดไปที่เกือบทุกคนชื่นชอบ: ตลาดกระทิงตลาดกระทิงคือตรงข้ามกับตลาดหมีราคามีแนวโน้มสูงขึ้นและความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็สูงเช่นกัน
ช่วงนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเทรดแบบสวิงเพราะแนวโน้มขาขึ้นสามารถสังเกตได้ง่ายกว่า
อย่างไรก็ตามแม้ในตลาดกระทิงราคาก็ไม่ได้ขึ้นไปอย่างต่อเนื่องโดยปกติจะมีการดึงกลับหรือลดลงชั่วคราวก่อนที่จะขึ้นต่อและนี่คือตำแหน่งที่คุณสามารถเข้ามาทำกำไรได้
นักเทรดแบบสวิงในตลาดกระทิงมักจะซื้อเมื่อเกิดการดึงกลับลองนึกภาพหุ้นที่กำลังขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ จู่ ๆ ก็ลดลงในช่วงสองสามวันเนื่องจากข่าวเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือเสียงรบกวนในตลาด
หากคุณสามารถมองเห็นว่าหุ้นนั้นเพียงแค่หยุดพักชะลอตัวก่อนจะขึ้นต่อนี่คือตำแหน่งที่เหมาะสำหรับการเทรดแบบสวิง
คุณซื้อเมื่อราคาตกลงและรอให้ราคากลับขึ้นอีกครั้งตามแนวโน้มขาขึ้น
สภาวะตลาดที่ไม่แน่นอน
สุดท้ายบางครั้งตลาดก็ไม่รู้ว่าต้องการไปในทิศทางไหนมันไม่ใช่ตลาดกระทิงเต็มรูปแบบหรือหมีเต็มรูปแบบแต่เป็นตลาดที่อยู่ระหว่างกลางหรือที่เรียกว่าตลาดที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงกรอบราคาที่กำหนด
ในตลาดแบบนี้หุ้นมักจะเคลื่อนไหวขึ้นลงภายในกรอบของระดับแนวรับและแนวต้านโดยไม่สามารถทะลุออกไปได้ในทั้งสองทิศทาง
ในสภาวะตลาดแบบนี้การเทรดแบบสวิงยังคงเป็นไปได้แต่ต้องอาศัยความอดทนและความแม่นยำมากขึ้น เคล็ดลับคือซื้อเมื่อหุ้นแตะระดับแนวรับ (ด้านล่างของกรอบ) และขายเมื่อราคาถึง ระดับแนวต้าน (ด้านบนของกรอบ)
มันเป็นเกมที่ต้องอาศัยการคาดคะเนที่ดีแต่ถ้าคุณจับจังหวะได้ถูกต้องก็ยังมีโอกาสทำกำไรได้แม้ตลาดจะไม่ชัดเจน
อินดิเคเตอร์ในการเทรดแบบสวิง
นอกจากนี้นักเทรดแบบสวิงที่ประสบความสำเร็จมักพึ่งพาอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอย่างมากในการระบุแนวโน้มและการกลับตัวของราคา
นี่คือตัวบ่งชี้ที่ใช้บ่อยที่สุด:
-
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages, MA): ใช้เพื่อทำให้ข้อมูลราคาราบรื่นและระบุทิศทางของแนวโน้ม
-
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (Relative Strength Index, RSI): ช่วยระบุสภาวะที่ราคาสูงเกินไปหรือขายมากเกินไป
-
MACD (Moving Average Convergence Divergence): แสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้นของราคาหุ้น
-
Bollinger Bands: แสดงความผันผวนของหุ้นและช่วยให้นักเทรดแบบสวิงระบุตำแหน่งที่ควรเข้าเทรด
อินดิเคเตอร์เหล่านี้ช่วยในการกำหนดจุดเข้าและออกที่เหมาะสม ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความสำเร็จในการเทรดแบบสวิง
กลยุทธ์การเทรดแบบสวิง
หลังจากที่เราเข้าใจแนวคิดของการเทรดแบบสวิงแล้วรวมถึงหุ้นที่เหมาะสมและสภาวะตลาดที่เอื้อต่อการเทรดแบบนี้ มาลองรวมทุกอย่างเข้าด้วยกันการเทรดแบบสวิงมีหลากหลายกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นในระยะสั้นถึงกลาง
มาดูตัวอย่างของกลยุทธ์การเทรดแบบสวิงที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยมกันบ้าง
กลยุทธ์ตามแนวโน้ม (Trend-Following Strategy)
หนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในการเทรดแบบสวิงคือกลยุทธ์ตามแนวโน้ม ซึ่งเน้นการระบุและใช้ประโยชน์จากทิศทางที่ชัดเจนของสินทรัพย์
อธิบายง่าย ๆ คือการ “เล่นตามคลื่นไปตามเทรน์” ของแนวโน้มไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือลงจนกว่าจะมีสัญญาณว่ากำลังจะกลับทิศทาง
ตัวอย่างเช่นลองนึกถึงหุ้นที่กำลังเคลื่อนไหวขึ้นอย่างต่อเนื่องคุณจะเข้าสู่การเทรดเมื่อราคามีการปรับตัวลดลงเล็กน้อยในแนวโน้มขาขึ้นนี้ และออกจากการเทรดเมื่ออินดิเคเตอร์แสดงแนวโน้มเริ่มอ่อนแรงลง
สิ่งสำคัญคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (เช่น เส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน หรือ 200 วัน) เพื่อระบุแนวโน้มโดยรวม นักเทรดอาจใช้ Bollinger Bands หรือ Relative Strength Index (RSI) เพื่อยืนยันว่าแนวโน้มยังคงแข็งแกร่งหรือถึงเวลาที่จะออกจากการเทรด
กลยุทธ์ Fibonacci Retracement
Fibonacci retracement เป็นกลยุทธ์ที่ใช้ระดับทางคณิตศาสตร์จากลำดับฟีโบนัชชีนักเทรดเดอร์ใช้วิธีนี้เพื่อคาดการณ์จุดกลับตัวของราคาโดยการวาดเส้นแนวนอนที่ระดับฟีโบนัชชีบนกราฟราคา
วิธีการทำงานคือ: สมมติว่าหุ้นตัวหนึ่งขึ้นจาก $100 ไปที่ $150 ระดับ Fibonacci Retracement ที่ 61.8% จะแสดงให้เห็นว่าการปรับฐานที่ดีของราคาอาจทำให้ราคาหุ้นลดลงมาที่ $122 ก่อนที่จะกลับเข้าสู่แนวโน้มขาขึ้น
นักเทรดแบบสวิงใช้ระดับการถอยกลับเหล่านี้ในการวางแผนจุดเข้าและจุดออก โดยมุ่งหมายที่จะซื้อเมื่อราคาหุ้นถอยกลับมาที่ระดับฟีโบนัชชีที่สำคัญและขายเมื่อมันกลับเข้าสู่แนวโน้มหลักอีกครั้ง
กลยุทธ์แนวรับและแนวต้าน
การทำความเข้าใจเกี่ยวกับระดับแนวรับและแนวต้านถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการเทรดแบบสวิง
-
แนวรับคือระดับราคาที่หุ้นมักจะหยุดตกลงเนื่องจากความสนใจในการซื้อที่เพิ่มขึ้น
-
ในขณะที่แนวต้านเป็นจุดที่แรงขายมักจะป้องกันไม่ให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น
นักเทรดแบบสวิงมักมองหาการซื้อหุ้นใกล้ระดับแนวรับและขายใกล้ระดับแนวต้าน ตัวอย่างเช่นหากหุ้นเด้งขึ้นลงระหว่าง $50 (แนวรับ) และ $60 (แนวต้าน) คุณสามารถซื้อที่ $50 และขายที่ประมาณ $60 โดยทำซ้ำตามรูปแบบนี้ตราบที่ยังคงเดิม
เมื่อหุ้นทะลุแนวต้านไปได้นักเทรดแบบสวิงอาจถือตำแหน่งต่อไปโดยหวังว่าหุ้นจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับถัดไป
กลยุทธ์การเทรดทะลุแนว (Breakout)
กลยุทธ์การเทรดทะลุแนว (Breakout) คือการเทรดหุ้นที่กำลังจะ “ทะลุแนว” ช่วงราคาที่กำหนดไว้หมายถึงหุ้นมีแนวโน้มที่จะเคลื่อนไหวเกินกว่าระดับแนวรับหรือแนวต้านที่ตั้งมาเป็นเวลานาน
กลยุทธ์นี้เน้นเรื่องจังหวะในการเข้าเทรด—การระบุช่วงเวลาที่หุ้นพร้อมจะเคลื่อนไหวครั้งใหญ่
ตัวอย่างเช่นลองนึกถึงหุ้นที่ติดอยู่ในกรอบราคา $100 ถึง $110 มาหลายสัปดาห์หากหุ้นพุ่งทะลุแนวที่ระดับ $110 พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นนั่นคือสัญญาณของการหลุดแนวนักเทรดจะเข้าสู่การเทรดที่จุดนี้ โดยคาดหวังว่าหุ้นจะวิ่งต่อไปในแนวโน้มขาขึ้น
การหลุดแนวสามารถเป็นการเคลื่อนไหวที่รุนแรงซึ่งทำให้นักเทรดแบบสวิงสามารถทำกำไรได้รวดเร็วหากจับจังหวะได้ถูกต้อง
กลยุทธ์การเทรดหลุดแนวรับลง (Breakdown)
ตรงข้ามกับกลยุทธ์การเทรดทะลุแนว (Breakout) กลยุทธ์การเทรดหลุดแนวรับลง (Breakdown) มุ่งเน้นการเทรดหุ้นที่กำลังตกลงต่ำกว่าระดับแนวรับที่สำคัญ สัญญาณถึงแนวโน้มขาลงนักเทรดที่ใช้กลยุทธ์นี้มักจะทำ “ชอร์ต” หุ้น ซึ่งหมายถึงการทำกำไรจากการลดลงของราคา
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นมีการหาแนวรับที่ $50 อยู่ตลอดแต่จู่ ๆ ตกลงต่ำกว่าระดับนี้พร้อมโมเมนตัมที่แข็งแกร่งนักเทรดแบบสวิงอาจทำการชอร์ต (Short หุ้น) โดยเดิมพันว่าราคาจะยังคงตกต่อไป
เพื่อจัดการความเสี่ยงนักเทรดมักจะตั้งคำสั่ง Stop-Loss ไว้เหนือระดับแนวรับเดิมเพื่อจำกัดการขาดทุน หากการเทรดไม่เป็นไปตามแผน
รูปแบบหัวและไหล่ (Head and Shoulders)
รูปแบบหัวและไหล่ (Head and Shoulders) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มการกลับตัวของทิศทางราคา รูปแบบนี้มีลักษณะเหมือนกับยอดเขาสามยอด: ยอดกลาง (หรือ “หัว”) ที่สูงกว่าสองยอดข้าง (หรือ “ไหล่”) รูปแบบรูปแบบหัวและไหล่ที่อยู่บนสุดของแนวโน้มมักส่งสัญญาณว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังจะกลับตัว
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นเพิ่มขึ้นจนเกิดยอดสูงใหญ่จากนั้นลดลงกลับขึ้นไปเป็นยอดเล็กกว่าอีกครั้งลดลงอีกครั้งและขึ้นมาอีกทีรูปแบบนี้อาจบ่งบอกว่าหุ้นจะเริ่มปรับตัวลงในไม่ช้า
นักเทรดแบบสวิงมักจะทำชอร์ตหุ้นเมื่อรูปแบบนี้เสร็จสมบูรณ์เพื่อทำกำไรจากการกลับตัวของแนวโน้ม
กลยุทธ์ Bollinger Bands
Bollinger Bands เป็นเครื่องมือยอดนิยมสำหรับนักเทรดแบบสวิงโดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความผันผวนของตลาดและการกลับตัวของราคา
เครื่องมือนี้ประกอบด้วยเส้นบนและเส้นล่างที่เคลื่อนไหวรอบราคาของหุ้นตามความผันผวนโดยมีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่ายอยู่ตรงกลาง
เมื่อราคาสัมผัสเส้น Bollinger Band ด้านบน จะถือว่าเป็นภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และเมื่อสัมผัสเส้นล่าง จะถือว่าเป็นภาวะขายมากเกินไป (Oversold) นักเทรดแบบสวิงใช้ Bollinger Bands เพื่อระบุเวลาที่เหมาะสมในการเข้าหรือออกจากการเทรด
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นสัมผัสเส้นล่างของ Bollinger Band นักเทรดแบบสวิงอาจพิจารณาซื้อโดยคาดหวังว่าราคาจะเด้งกลับไปยังเส้นกลาง
แพทเทร์นถ้วยและด้ามจับถ้วย (Cup and Handle)
แพทเทิร์นถ้วยและด้ามจับถ้วย เป็นรูปแบบต่อเนื่องขาขึ้นที่เกิดขึ้นเมื่อราคาสร้างรูปทรงเหมือน “ถ้วย” ตามด้วยการเคลื่อนไหวเล็กน้อยหรือการลดลงเล็กน้อยในลักษณะเป็น “ด้ามจับถ้วย”
นักเทรดแบบสวิงจับตาดูรูปแบบนี้เพราะมักเป็นสัญญาณว่าหุ้นมีแนวโน้มที่จะขึ้นต่อ
ตัวอย่างเช่น หากราคาหุ้นลดลงเล็กน้อยและคงที่ (เกิดเป็นรูปทรงถ้วย) จากนั้นมีการลดลงเล็กน้อยอีกครั้ง (ด้ามจับถ้วย) นักเทรดอาจเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นเริ่มปรับตัวขึ้นอีกครั้งโดยคาดหวังว่าจะมีการปรับตัวขึ้นต่อไป
กลยุทธ์ Fading
กลยุทธ์ Fading เป็นวิธีการเทรดสวนทิศทางกับแนวโน้มในปัจจุบัน โดยเดิมพันว่าจะเกิดการกลับตัว กลยุทธ์นี้ถือว่ามีความเสี่ยงสูงแต่หากสำเร็จอาจให้ผลตอบแทนสูง
นักเทรดที่ใช้กลยุทธ์ Fading จะขายหุ้นเมื่อราคาขึ้นเร็วมากโดยคาดว่าราคาจะกลับตัวลงหรือซื้อหุ้นที่กำลังลดลงเร็วโดยคาดว่าจะดีดกลับขึ้นในไม่ช้า
ตัวอย่างเช่น หากหุ้นมีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะสั้นและ RSI บ่งชี้ว่าเป็นภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) นักเทรดแบบสวิงอาจทำชอร์ตหุ้นโดยคาดหวังว่าราคาจะลดลงในระยะสั้น
ข้อดีและข้อเสียของการเทรดแบบสวิง
การเทรดแบบสวิงเช่นเดียวกับกลยุทธ์การเทรดอื่น ๆ มีข้อดีและข้อเสียเฉพาะตัว
การทำความเข้าใจทั้งสองด้านจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ว่าการเทรดแบบสวิงเหมาะกับคุณหรือไม่
ข้อดี
-
ความยืดหยุ่นด้านเวลา: ไม่จำเป็นต้องเฝ้าติดตามตลาดตลอดเวลาสามารถถือตำแหน่งการซื้อขายไว้หลายวันหรือหลายสัปดาห์ได้
-
โอกาสในการทำกำไรสูง: สามารถทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นโดยเฉพาะในตลาดที่มีความผันผวนสูง
-
เครียดน้อยลง: ระยะเวลาการถือตำแหน่งที่ยาวขึ้นช่วยลดความกดดันในการตัดสินใจในทันที
-
เหมาะกับสภาวะตลาดหลายแบบ: สามารถทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง
ข้อเสีย
-
ความเสี่ยงข้ามคืน: เสี่ยงต่อข่าวสารและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเวลาทำการตลาด
-
ต้องการทักษะทางเทคนิค: ความสำเร็จขึ้นอยู่กับความเข้าใจในการอ่านกราฟและอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ
-
ไม่เหมาะกับหุ้นทุกตัว: หุ้นบางตัวอาจขาดความผันผวนหรือสภาพคล่องที่เหมาะสมสำหรับการเทรดแบบสวิง
-
ความกดดันทางจิตใจ: การถือตำแหน่งในช่วงที่ตลาดผันผวนอาจสร้างความเครียด
สรุป
การเทรดแบบสวิงเป็นกลยุทธ์ที่เข้าถึงได้สำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะสั้น โดยการใช้ประโยชน์จากอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคและความเข้าใจสภาวะตลาดคุณสามารถใช้ประโยชน์จากการแกว่งตัวของราคาในตลาดขาขึ้นและขาลงได้
สารบัญ
คำถามที่พบบ่อย
ใช่ การเทรดแบบสวิงสามารถทำกำไรได้ดีหากคุณใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมและมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ชัดเจน
กฎ 1% แนะนำว่าคุณไม่ควรเสี่ยงเกิน 1% ของมูลค่าบัญชีเทรดทั้งหมดในการเทรดหนึ่งครั้งเพื่อจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
การเทรดแบบสวิงคือการซื้อหุ้น เช่น หุ้น Apple แล้วถือไว้ประมาณหนึ่งสัปดาห์เมื่อราคาขึ้นไปถึงเป้าหมายที่กำหนดคุณก็ขายเพื่อทำกำไร
ใช่ การเทรดแบบสวิงเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นเนื่องจากมีความยืดหยุ่นและกดดันน้อยกว่าการเทรดรายวัน
เนื้อหาในเอกสารหรือภาพนี้ประกอบด้วยความคิดเห็นและแนวคิดส่วนบุคคล ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับความคิดเห็นของบริษัท ข้อมูลในที่นี้ไม่ควรตีความว่าเป็นคำแนะนำด้านการลงทุนใดๆ และ/หรือการชักชวนให้ทำธุรกรรมใดๆ ไม่มีการแสดงถึงข้อผูกพันในการซื้อบริการการลงทุน และไม่รับประกันหรือคาดการณ์ผลการดำเนินงานในอนาคต บริษัท XS บริษัทในเครือ ตัวแทน กรรมการ เจ้าหน้าที่ หรือพนักงาน ไม่รับประกันห้วงเวลา ความสมบูรณ์หรือความถูกต้องของข้อมูลหรือข้อมูลใดๆที่มีให้ และไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆที่เกิดจากการลงทุนตามข้อมูลดังกล่าวแพลตฟอร์มของเราอาจไม่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการทั้งหมดที่กล่าวถึง